โรคไวรัสตับอักเสบ
ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย
ปกติจะมีน้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม
โดยอยู่หลังกระบังลม
หน้าที่ของตับ
- เป็นคลังสะสมอาหาร
เช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน
เอาไว้ใช้
และปล่อยเมื่อร่างกายต้องการ
- สังเคราะห์สารต่างๆ
เช่น น้ำดี
สารควบคุมการแข็งตัวของเลือด
ฮอร์โมน
- กำจัดสารพิษ
และสิ่งแปลกปลอม
เช่นเชื้อโรค หรือยา อ่านการทำงานของตับ
โรคตับชนิดต่างๆ
ตับมีโอกาสเป็นโรคต่างๆได้แก่
โรคตับอักเสบ hepatitis โรคตับแข็ง [cirrhosis] มะเร็งตับ [liver cancer] โรคไขมันในตับ [fatty liver] โรคฝีในตับ [liver
abscess]
โรคตับอักเสบมี
2 ชนิด
- โรคตับอักเสบเฉียบพลัน [acute hepatitis] หมายถึงโรคตับอักเสบที่เป็นไม่นานก็หาย
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการ 2-3
สัปดาห์โดยมากไม่เกิน 2
เดือน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายขาดจะมีบางส่วนเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
และบางรายรุนแรงถึงกับเสียชีวิต
- โรคตับอักเสบเรื้อรัง [chronic hepatitis] หมายถึงตับอักเสบที่เป็นนานกว่า
6 เดือนจะแบ่งเป็น 2 ชนิด
- chronic
persistent
เป็นการอักเสบของตับแบบค่อยๆเป็นและไม่รุนแรงแต่อย่างไรก็ตามโรคสามารถที่จะทำให้ตับมีการอักเสบมาก
- chronic
active hepatitis.มีการอักเสบของตับ
และตับถูกทำลายมากและเกิดตับแข็ง
สาเหตุของโรคตับอักเสบ
- เชื้อไวรัส
มีหลายชนิดได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ
เอ ,บ,ซี,ดี,อี
- เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ยาบางชนิด
เช่น ยารักษาวัณโรค halothane, isoniazid,
methyldopa, phenytoin, valproic acid, sulfonamide drugs.
ผู้ป่วยหากได้ acetaminophen
(พาราเซ็ตตามอล)ในขนาดสูงมากก็สามารถทำให้ตับถูกทำลายได้
- เชื้อโรคบางชนิด
เช่น ไทฟอยด์,มาลาเรีย
การอักเสบของตับจะทำให้ตับบวม
มีการทำลายเซลล์ตับ
ทำให้มีอาการอ่อนเพลียจากการทำงานผิดปกติของตับ
หากการอักเสบเกิดขึ้นเป็นเวลานานจะทำให้ตับถูกทำลายมาก
และถูกแทนที่ด้วยพังผืด
ทำให้ตับมีแผลเป็น
และมีลักษณะแข็งเป็นตุ่มๆ
แม้ว่าสาเหตุของตับอักเสบจะมีมากมายแต่สาเหตุที่สำคัญคือไวรัสตับอักเสบ
ปัญหาโรคตับอักเสบ บี
และโรคตับอักเสบเรื้อรังเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลก
การดำเนินของโรคตับอักเสบ บี
และโรคตับอักเสบ
ซีสามารถดำเนินเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
เป็นตับแข็ง
และเป็นมะเร็งตับ
เป็นภาวะที่ก่อให้เกิดการสูญเสียทางครอบครัว
ทางเศรษฐกิจเป็นอันมาก
ดังนั้นการเข้าใจถึงโรคตับอักเสบ
ซึ่งรวมถึงการติดต่อ
การดำเนินของโรค การวินิจฉัย
การรักษา
และการป้องกันการติดต่อซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดูแลและช่วยลดจำนวนผู้ป่วยลง
ไวรัสตับอักเสบมีกี่ชนิด
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ
ผู้ป่วยดีซ่านตาขาวและผิวจะมีสีเหลือง |
ฝ่ามือมีสีเหลือง |
ปัสสาวะเข้ม |
- ตับอักเสบเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะมีอาการที่พบได้บ่อย
คือ อ่อนเพลีย
ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
ปวดข้อ คลื่นไส้อาเจียน
เบื่ออาหาร
อาจจะพบผื่นตามตัว
หรืออาการท้องเสีย
บางรายปัสสาวะสีเข้ม
ตัวเหลืองตาเหลือง
ซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไป
1-4 สัปดาห์ แต่บางรายอาจนาน 2-3
เดือน
ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ
โรคไวรัสตับอักเสบ บี
พบว่าร้อยละ 5-10
เป็นตับอักเสบเรื้อรัง
ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี
ร้อยละ 85
เป็นตับอักเสบเรื้อรัง
- ตับอักเสบเรื้อรัง
ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ
แต่จะมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆจนเกิดตับแข็ง
และเป็นมะเร็งตับในที่สุด
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นตับอักเสบ
หากสงสัยว่าจะเป็นโรคตับอักเสบท่านควรไปรับการตรวจเลือดเพื่อหาว่ามีการติดเชื้อหรือไม่โดย
- ตรวจการทำงานของตับ
โดยการหาระดับ SGOT[AST],SGPT [ALT]ค่าปกติน้อยกว่า
40 IU/L ถ้าค่ามากกว่า 1.5-2
เท่าให้สงสัยว่าตับอักเสบ
หากพบว่าผิดปกติแพทย์จะขอตรวจเดือนละครั้งติดต่อกันอย่างน้อย
3 เดือน การแปรผลเลือด
- การตรวจหาตัวเชื้อ
- ไวรัสตับอักเสบ
เอ ตรวจหา Ig M Anti HAV
- ไวรัสตับอักเสบ
บี ตรวจหา HBsAg
ถ้าบวกแสดงว่ามีเชื้ออยู่ Anti HBs ถ้าบวกแสดงว่ามีภูมิต่อเชื้อ HBeAg ถ้าบวกแสดงว่าเชื้อมีการแบ่งตัว HBV-DNA
เป็นการตรวจเพื่อหาปริมาณเชื้อ
- ไวรัสตับอักเสบ
ซี Anti-HCV
เป็นการบอกว่ามีภูมิต่อเชื้อ HCV-RNA ดูปริมาณของเชื้อ
- การตรวจดูโครงสร้างของตับ
เช่นการตรวจคลื่นเสียงเพื่อดูว่ามีตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่
- การตรวจชิ้นเนื้อตับ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนำชิ้นเนื้อตับเพื่อวินิจฉัยความรุนแรงของโรค
การรักษาตับอักเสบ
การเลือกใช้ยาจะเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเนื่องจากยามีผลข้างเคียงที่พึงระวังหลายอย่าง
ยาที่ใช้อยู่มี interfeon และ lamuvudin
การปฏิบัติตัว
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมในช่วงที่มีการอักเสบของตับ
แต่การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอในตับอักเสบเรื้อรังสามารถทำได้
- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างพอเพียง
ไม่ต้องดื่มน้ำหวานมากๆ
เพราะทำให้ไขมันสะสมที่ตับเพิ่มขึ้น
ถ้าเคยเป็นแล้วจะมีโอกาสติดเชื้ออีกหรือไม่
ถ้าเป็นไวรัสตับอักเสบเอ และ อี จะหายขาดไวรัสตับอักเสบ บี ร้อยละ 90 หายขาด ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซีและ ดี ยังไม่มีข้อมูล
พาหะของโรคจะทำอย่างไร
ผู้ป่วยที่เป็นพาหะคือผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่ในร่างกายแต่ไมแสดงอาการของตับอักเสบ ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นและต้องมั่นติดตามการดูแลจากแพทย์เป็นระยะๆผู้ป่วยที่เป็นพาหะมักเป็นกับเชื้อบี และ ซี เท่านั้น
ถ้ามารดาเป็นตับอักเสบจะมีผลอย่างไรต่อบุตร
บุตรที่คลอดจากมารดาที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะมีโอกาสติดเชื้อได้สูง แต่ปัจจุบันการฉีดวัคซีนให้กับทารกสามารถป้องกันการติดเชื้อได้แม่สามารถให้นมบุตรได้
การป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ การติดเชื้อตับอักเสบ เอจากอาหาร
การตรวจการทำงานของตับ ตับอักเสบ ไขมันพอกตับ ตับอักเสบจากการแพ้ยา