การรักษาไขมันในเลือดสูง
หลักการรักษาภาวะไขมันผิดปกติในคนไทย ความผิดปกติของ lipoprotein metabolism ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดบัไขมันในเลือดที่นำไปสู่หลอดเลือดแดงแข็งรวมถึงภาวะแทรกซ้อน ทั้งชนิดเฉียบพลนัและเรื้อรัง เกิดภาวะทุพพลภาพต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต หลักการรักษาเป็นไปเพื่อการป้องกัน สิ่งเหล่านี้ทั้งระดับ ปฐมภูมิ และทุติยภูมิโดยต้องทำการลดปัจจยัเสี่ยงอื่นๆที่ผู้ปวยมีอยู่ร่วมด้วยควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงอันจะทำให้การใช้ยามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น หลังจากที่ท่านทราบผลไขมันในเลือดให้พิจารณาว่าไขมันสูงหรือไม่
ต้องรู้ระดับไขมันในเลือดโดยการเจาะเลือด ไขมันที่ต้องการรู้มี 3 ตัว
LDL Cholesterol เป็นเป้าหมายหลักที่จะรักษา |
|
<100 | ค่าที่ต้องการ |
100-129 | ค่าใกล้เคียงปกติ |
130-159 | ค่าค่อนไปทางสูง |
160-189 | สูง |
>190 | สูงมาก |
Triglyceride |
|
<200 | ค่าที่ต้องการ |
200-239 | สูงปานกลาง |
>240 | สูง |
HDL Cholesterol |
|
<40 | ต่ำสูง |
>60 | สูง |
สิ่งที่ควรพิจารณาในการใช้ยารักษาภาวะไขมันผิดปกติมีดังนี้
ขั้นตอนที่1
การตรวจเลือดและตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้นก่อนเริ่มการรักษา เพื่อประเมินว่าผู้ป่วยมีไขมันชนิดใด ผิดปกติ ตรวจการทำงานของตับและทำงานของไต ตรวจน้ำตาลในเลือด หาสาเหตุที่ทำให้ระดับไขมันในเลือดผิดปกติเช่นกลุ่มโรคไตรั่ว nephrotic syndrome,ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย hypothyroidism ซึ่งระดับไขมันอาจกลับมาเป็นปกติได้โดยการรักษาโรคต้นเหตุ ควรตรวจเอนไซม์ตับว่าผิดปกติอยู่ก่อนเริ่มยาหรือไม่ ซึ่งอาจนำมาใช้เปรียบเทียบกับค่าภายหลังการรักษาด้วยยา
ขั้นตอนที่2
ประเมินปัจจัยเสี่ยงอื่น นอกจากไขมันผิดปกติ แล้วนำมาคำนวณว่าผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากหรือน้อยเพียงใดใน การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้แบบประเมินที่เหมาะสมที่ใช้อ้างอิงอยู่ในขณะน้ั้นและ ดำเนินการ รักษาทุกปัจจัยเสี่ยงไปพร้อมๆกันหากต้องใช้ยา ควรเลือกชนิดและขนาดยาที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ปลอดภัย และ คุ้มค่า ให้สำรวจดูว่าคุณมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบข้างล่างนี้กี่ข้อ
- สูบบุหรี่
- ความดันโลหิตสูง (มากกว่า 140/90 หรือกำลังรับประทานยาลดความดันโลหิต)
- HDL<40 มก.%
- อายุ(ชายอายุมากว่า 45 ปี หญิงอายุมากกว่า 55 ปี หากอายุมากกว่านี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยง)
- ประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบก่อนวัย(ชายเป็นก่อนอายุ 55 ปีหญิงเป็นก่อนอายุ 65 ปี)
- ระดับน้าตาลในเลือดสูง
- น้าหนักเกินและอ้วน
- การขาดกิจกรรมทางกาย
- ไขมันในเลือดผิดปกติ
- พฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสม
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ภาวะเลือดข้น
- โปรตีนในปัสสาวะ
- หัวใจห้องล่างซ้ายโต *
หากว่าค่า HDL ของคุณมากกว่า 60 มก.%ให้หักความเสี่ยงที่ได้ลงไปหนึ่ง เช่นหากคุณเป็นผู้ชายอายุ 55 ปี สูบบุหรี่ เป็นความดันโลหิตสูง LDL=35มก.% HDL=65 มก.% คุณมีปัจจัยเสี่งทั้งหมด 4-1=3 ข้อ
หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจมากกว่า 2 ข้อ(ไม่นับรวม LDL)โดยที่ไม่มีโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ให้เปิดตารางดูว่าคุณมีโอกาสเป็นโรคหัวใจใน 10 ปีเป็นเท่าใดโดยดูตารางนี้ ผู้ชายคลิกที่นี่ ผู้หญิงคลิกที่นี่ หรือคลิกที่นี่เพื่อคำนวณความเสี่ยง
เมื่อคุณได้อัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจแล้ว ทางปฏิบัติจะแบ่งเป็น 3 ระดับ
- มากกว่า 20% = CHD risk-equivalent
- 10-20% ความเสี่งสูงปานกลาง
- น้อยกว่า10%
ขั้นตอนที่ 3
ประเมินทางคลินิกให้ทราบว่าผู้ป่วยเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดแล้วหรือไม่ บางกรณีการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายที่ไม่มีอาการ หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องโป่งพองในคนอ้วน โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคไต โรคหลอดเลือดขาตีบ โดยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือการวิ่งบนสายพานแล้วตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การทำ ultrasound เพื่อดูความหนาของผนังหลอดเลือด การตรวจปัสสาวะ การทำงานของไต เป็นต้นหากมีหลักฐานว่า เคยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมาก่อนแล้ว จะจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง ควรเลือกใช้ยารักษาภาวะไขมันผิดปกติที่มีประสิทธิภาพสูง แม้ในกรณีที่ระดับไขมันไม่สูงมากก็ตาม แพทย์ผู้รักษาต้องทราบประสิทธิภาพของยารักษาภาวะไขมันผิดปกติ แต่ละชนิดว่าเหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้ป่วยที่กำลังรักษาอยู่หรือไม่
ให้คุณสำรวจว่าคุณเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็งหรือไม่ หรือโรคอื่นเช่น โรคเบาหวานหรือโรคอื่นๆที่จัดเทียบเท่าโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้แก่
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอตีบ
- โรคหลอดเลือดแดงขาตีบ
- โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ในท้องโป่งพอง
- โรคเบาหวาน
- ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหลายข้อและมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจมากกว่า 20%ใน 10 ปี
ขั้นตอนที่4
มาจัดกลุ่มความเสี่ยงเพื่อกำหนดเป้าหมายในควบคุมระดับ LDL
- การรักษาไขมันสูงในคนที่ไม่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
- การรักษาไขมันสูงในผู้ป่วยเบาหวาน
- การรักษาไขมันสูงในผู้ป่วยโรคไต
- การรักษาไขมันสูงในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
ขั้นตอนที่ 5
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดาเนินชีวิตของผู้ป่วย จะช่วยให้การป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดประสบผลสาเร็จมากขึ้น เพราะไม่เพียงทาให้ระดับไขมันดีขึ้น แต่ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงอื่นๆลงด้วย เช่น ลดความดันโลหิต ควบคุมระดับน้าตาลในผู้ป่วยเบาหวาน ทาให้ไม่ต้องใช้ยาขนาดสูงในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายลดลง และหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์จากยา
โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม [Therapeutic lifestyle change ]ซึ่งมีลักษณะดังนี้
1.ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอาหารดังนี้
- พลังงานที่มาจากไขมัน 25-35 %ของพลังงานทั้งหมด
- รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า 7 %
- รับประทานไขมันไม่อิ่มตัวแบบเชิงซ้อน polyunsaturated เพิ่มเป็นร้อยละ 10 ของพลังงานทั้งหมด
- ไขมันไม่อิ่มตัวแบบเชิงเดี่ยว monounsaturated เพิ่มเป็นร้อยละ 20 ของพลังงานทั้งหมด
- รับประทาน
- และปริมาณไขมัน cholesterol <200 mg%
- รับประทานพวกแป้งให้ได้พลังงาน 50-60%ของพลังงานทั้งหมด
- รับประทานโปรตีน 15 %ของพลังงานทั้งหมด
- ให้รับประทานใยอาหารมากกว่า 20-30 กรัม/วันและ stanol มากกว่า 2 กรัม/วัน
- พลังงานที่รับทั้งวันขึ้นกับการทำงาน การออกกำลังกาย และน้ำหนักรายละเอียดอ่านที่นี่
2.ให้ลดน้ำหนัก
น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับชาวเอเชียคือน้ำหนักที่ดัชนีมวลกายเท่ากับ 23 รายละเอียดอ่านที่นี่
3.ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเพิ่มให้ร่างกายใช้พลังงานเพิ่มและลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน รายละเอียดอ่านที่นี่
ขั้นตอนที่ 6
หลังจากการรักษาด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม 3 เดือนแล้วระดับ LDL ยังเกินเป้าหมายจะต้องใช้ยารักษา การใช้ยาจะทำควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ยาที่ใช้รักษาไขมันมีดังนี้
- การใช้ยารักษาภาวะไขมันผิดปกติบางครั้งจำเป็นต้องลดขนาดยา หรือ หยุดยาชั่วคราว หรือ ถาวร จะพิจารณาปรับลดขนาด หรือ หยุดยาเมื่อ
1.1 เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา เช่นกล้ามเนื้ออักเสบจากยา myopathy, rhabdomyolysis จากการใช้ยา statin ทั้งสองภาวะจะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ
1.2 ปฏิกิริยาระหว่างกันกับยาตัวอื่นที่ได้รับอยู่ โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
1.3 มีการทางานของตับหรือไตลดลง
1.4 ในกรณีที่ใช้ statin ถ้าพบว่า LDL-C ในเลือด < 40 มก./ดล. สองครั้งติดต่อกัน อาจพิจารณาลดขนาดยา statin ลง
1.5 ไม่ควรเริ่มยารักษาภาวะไขมันผิดปกติเพื่อการป้องกันแบบปฐมภูมิ ในผู้ป่วยที่การให้ยาดังกล่าวมีประโยชน์น้อยกว่าผลเสียจากยา เช่น ในผู้ป่วยระยะสุดท้าย เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 7
คุณต้องค้นหาว่าตัวคุณมีภาวะ Metabolic อsyndrome คือภาวะที่มีกลุ่มของอาการโดยสาเหตุเกิดจากหลายๆสาเหตุ สาเหตุที่สำคัญคือภาวะดื้อต่ออินซูลินซึ่งจะพบภาวะนี้ในผู้ป่วยก่อนที่จะเป็นโรคเบาหวาน การที่จะทราบว่ามีกลุ่มอาการนี้หรือไม่ลองดูตารางข้างล่างนี้หากคุณมี 3 ข้อขึ้นไปถือว่าคุณมีภาวะ Metabolic syndrome
ปัจจัยเสี่ยงต่อ Metabolic syndrome | เกณฑ์การวัด |
1.อ้วนลงพุง | โดยการวัดเส้นรอบเอว |
ผู้ชาย | ผู้ชาย< 102ซม(เอเชียไม่เกิน 90 ซม) |
ผู้หญิง | ผู้หญิง< 88 ซม(เอเชียไม่เกิน 80 ซม) |
2.Triglyceride | >150 mg.% |
3.HDL Cholesterol | |
ผู้ชาย | <40mg% |
ผู้หญิง | <50mg.% |
4.ความดันโลหิต | >130/85 mmHg |
5.ระดับน้ำตาล | >110 mg.% |
เมื่อสำรวจแล้วหากคุณพบว่าคุณมีมากกว่า 3 ข้อคุณต้องรักษาภาวะ Metabolic syndrome ซึ่งมีวิธีการรักษาดังนี้
- รักษาโรคหรือภาวะพื้นฐาน
- ควบคุมน้ำหนัก
- ออกกำลังกาย
- รักษาโรคอื่นที่เป็น
- รักษาความดันโลหิตสูง
- รับประทาน aspirin ป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
- รักษาโดยการลด triglyceride และเพิ่ม HDL
ขั้นตอนี่8
หลังจากที่สามารถควบคุมระดับ LDL ได้ตามเป้าหมายแล้ว แพทย์ผู้รักษาจะให้การรักษาระดับ Triglyceride เป็นลำดับต่อมา ค่าปกติของระดับ Triglyceride
<150 | ค่าปกติ |
150-199 | สูงเล็กน้อย |
200-499 | สูง |
>500 | สูงมาก |
ในการรักษาระดับ Triglyceride จะแบ่งระดับตามความรุนแรงดังนี้
- ระดับ Triglyceride น้อยกว่า 150มก.%
- เป้าหมายให้คุม LDL ให้ได้ตามเป้าหมาย
- ลดน้ำหนักให้ได้ตามเกณฑ์
- ออกกำลังกาย
- หากระดับ Triglyceride ยังมากกว่า 200 มก.%จะต้องให้ยาเพื่อลดระดับของ Non-HDL-Cholesterol ให้ได้ตามเป้าหมาย วิธีการอาจจะทำได้โดย
- เพิ่มยาลด LDL
- เพิ่มยาในกลุ่ม nicotinic หรือ fibrate
- หาก Triglyceride มากกว่า 500 มก.%ให้รักษาระดับtriglyceride ก่อนเพื่อป้องกันตับอ่อนอักเสบ
- ให้รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำกว่ำ 15 %ของพลังงานทั้งหมดหรือจะพูดภาษาชาวบ้านก็คือหลีกเลี่ยงอาหารมันให้มากที่สุด
- ลดน้ำหนักและออกกำลังกาย
- ให้ยาในกลุ่ม fibrate หรือ nicotinic
- เมื่อระดับ triglyceride น้อยกว่า 500 มก.%จึงค่อยมารักษาระดับ LDL
การรักษาระดับHDL ที่ต่ำกว่า 40 มก%
- ให้รักษาระดับ LDL ก่อน
- ลดน้ำหนักและออกกำลังกาย
- ถ้าระดับ triglyceride อยู่ระหว่าง 200-499 มก.%ให้คุมระดับ Non-HDL-Cholesterol ให้ได้ตามเป้าหมาย
- หากระดับ triglyceride น้อยกว่า 200 มก.%ให้ยา fibrate หรือ nicotinic
ขั้นตอนที่ 9
ระดับไขมัน Non-HDL-Cholesterol เป้าหมาย
กลุ่มความเสี่ยง | ระดับ LDL เป้าหมาย | Non-HDL-Cholesterol |
ผู้ที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เบาหวาน( หรือผู้ที่มีอัตราเสี่ยงมากกว่า 20%ใน 10 ปี) | น้อยกว่า 100 | น้อยกว่า 130 |
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ(ตามขั้นตอนที่3)มากกว่า 2 ข้อ(อัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 20%) | น้อยกว่า 130 | น้อยกว่า 160 |
ปัจจัยเสี่ยงน้อยกว่า 1 | น้อยกว่า 160มก.% | น้อยกว่า 190 |