การฝึกการหายใจแบบโยคะ Pranayama

เป็นการฝึกเพื่อควบคุมการหายใจให้สามารถหายใจได้ลึกกว่าเดิมและยาวกว่าเดิม

องค์ประกอบสำคัญในการฝึกลมปราณนั้นเกี่ยวข้องกับการฝึกควบคุมการหายใจเข้า( Inhalation,puraka) ควบคุมการหายใจออก( Exhalation,rechaka) และการควบคุมการกลั้นหายใจ (Breath holding ,kumbhaka)

หายใจเข้าจนท้องป่อง

หายใจออกจนท้องแฟบ

การฝึกลมปราณควรฝึกในที่โล่งแจ้งอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ควรฝึกในที่อับชื้น มีกลิ่น หรือเสียงดัง ในการฝึกลมปราณแต่ละครั้งให้หายใจซ้ำกัน 5-7 ครั้งแล้วตามด้วยการหายใจปกติหรือนอนท่าศพ แล้วจึงฝึกท่าอื่นต่อไป

การฝึกหายใจสามารถทำได้ทั้งท่ายืน ท่านั่ง และท่านอน ท่านั่งสามารถทำได้หลายแบบคือ นั่งขัดสมาธิชั้นเดียว(ขาข้างหนึ่งอยู่บนอีกข้างหนึ่ง) นั่งสมาธิสองชั้น(ท่าดอกบัว) นั่งบนส้นเท้าหรือนั่งคุกเข่า นั่งบนส้นเท้า เท้าแยกกันและก้นอยู่ระหว่างเท้า การวางมือให้ทำเหมือนพระพุทธรูปเอามือซ้ายอยู่ล่างมือขวาอยู่บน

การฝึกการหายใจ เริ่มหายใจให้ท้องป่องออกซึ่งเป็นการหายใจโดยใช้กำบังลม หลังจากนั้นให้สูดลมเข้าอีกซึ่งจะทำให้ซี่โครงทรวงอกขยาย และสูดให้เต็มปอดซึ่งจะรู้สึกว่าปอดขยายออกทุกทิศทุกทาง เมื่อหายใจออกก็ให้หายใจจากยอดอกออกก่อนตามด้วยกลางทรวงอกและสุดท้ายให้ท้องแฟบ

 

วิธีการหายใจในการฝึกโยคะ

วิธีการหายใจที่ใช้ในการฝึกโยคะสามารถทำได้ 3วิธีคือ

  1. การหายใจเข้า-ออก สลับกับการเปลี่ยนท่า จะมีลักษณะเหมือนการฝึกลมปราณขั้นต้น วิธีการหายใจจะเน้นให้หายใจเข้าแล้วปฏิบัติตามท่า จากนั้นก็หายใจออกขณะที่หายใจออกก็คลายท่า ทำการฝึก 4-6 ลมหายใจซึ่งใช้เวลาประมาณ10 วินาที

  2. การหายใจเข้าก่อนเริ่มทำท่าโยคะ ก่อนเริ่มทำท่าโยคะให้หายเข้าให้เต็มที่กลั้นหายใจแล้วจึงทำท่าโยคะ เมื่อถึงที่ทำท่าฝึกเสร็จก็หายใจออกและหายใจปกตินานตามที่ต้องการ เมื่อจะเปลี่ยนท่าให้หายใจเข้าให้เต็มที่ กลั้นหายใจแล้วจึงคลายท่า วิธีนี้ฝึกง่ายและเป็นที่นิยม

  3. การหายใจให้สอดคล้องกับท่าโยคะ ถือหลังว่าท่าโยคะที่ทำให้ปอดขยายก็ให้หายใจเข้า ท่าที่ทำให้ปอดเล็กลงก็ให้หายใจออก ท่าที่ต้องหายใจเข้าได้แก่ ยกแขนขึ้น การเงยตัว การยืดตัวขึ้น การแอ่นอก ส่วนท่าที่ต้องหายใจออกคือท่าที่ยกแขนลง ท่าที่มีการบิดตัว การฝึกหายใจท่านี้จะยากเพราะต้องจำท่าการฝึก และต้องจำว่าจะหายใจเข้าออกตอนไหน

การเลือกวิธีหายใจขึ้นกับท่านผู้ฝึกว่าจะใช้วิธีไหน