การตั้งครรภ์ 22 สัปดาห์

 

การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่

  • ร่างกายคุณแม่จะมีการเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอดด้วย มดลูกจะมีการซ้อมหดรัดตัว ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกว่า Braxton Hicks contractions ซึ่งกล้ามเนื้อมดลูกจะมีการหดรัดตัวแข็งขึ้นประมาณ 2 -3 วินาที
  • ตอนนี้ตำแหน่งของยอดมดลูกจะอยู่เหนือสะดือคุณแม่ขึ้นมาเล็กน้อย 
  • คุณแม่อาจรู้สึกคัดตึงเต้านมมากขึ้นเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เพื่อเตรียมเต้านมให้พร้อมสำหรับการให้นมบุตรภายหลังการคลอด ทำให้เต้านมยังขยายโตขึ้นเรื่อยๆ เต้านมจะมีขนาดใหญ่ขึ้นรอบหัวนมจะดำ และมีฐานใหญ่ขึ้นมีตุ่มขนาดใหญ่ คุณแม่บางท่านจะเห็นเส้นเลือดบนเต้านม หน้าอกจะยังคงผลิตน้ำนมแรกซึ่งจะเป็นอาหารมื้อแรกของลูกน้อยอย่างต่อเนื่อง
  • และคุณแม่อาจรู้สึกร้อนได้บ่อยๆในช่วงนี้
  • ในระยะนี้จะมีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว เนื่องจากร่างกายมีการสะสมน้ำไว้มาก
  • ผมคุณแม่จะดกและเส้นใหญ่มากขึ้น รวมทั้งมีหนวดและเคราเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการเพิ่มของฮอร์โมน อาการจะกลับสู่ปกติหลังจากคลอด
  • เล็บจะงอกเร็วและแข็งกว่าปกติ
  • ผิวจะมีสีคล้ำมากขึ้น มีฝ้าขึ้นบริเวณใบหน้า หน้าท้องแตกโดยเฉพาะหากสัมผัสแสงแดดมากจะทำให้ผื่นเป็นมากขึ้น การป้องกันทำได้โดยการหลีกเลี่ยงแสงแดด ถือล่มหรือ ใส่หมวกปีกกว้าง และทาครีมกันแดดที่มี SPF มากกว่า 30
  • คุณแม่บางท่านอาจจะมีสิวมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แก้ไขโดยล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งด้วยสบู่อ่อน และไม่ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของไขมัน
  • ผิวหนังจะแตกโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ผิวที่แตกอาจจะมีทั้งสีคล้ำ และสีจาง รอยแตกและสีจะดีขึ้นหลังจากคลอดไปแล้ว 6-12 สัปดาห์
  • เท้าคุณแม่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น คุณแม่อาจจะต้องเปลี่ยนรองเท้า เมื่อคลอดเท้าจะมีขนาดปกติ
  • คุณแม่อาจรู้สึกลูกน้อยถีบเป็นครั้งแรก ซึ่งจะแตกต่างจากการดิ้นธรรมดาที่รู้สึกในช่วงสัปดาห์ ก่อนหน้า
  • คุณแม่อาจหายใจเร็วขึ้นในสัปดาห์นี้ อาการหายใจติดขัดจะเริ่มบรรเทาลง
  • อาการแพ้ท้องต่าง ๆ ในช่วงไตรมาสที่ 2 จะรวมถึง ปวดหลัง การมีตกขาวที่เพิ่มขึ้น อาการคัดจมูก และอาการเสียวฟัน เหงือกอักเสบ
  • มดลูกของคุณแม่จะเริ่มฝึกตนเองเพื่อเตรียมความพร้อมเวลาคลอด ด้วยการหดรัดตัวเป็นบางครั้ง ซึ่งทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า การซ้อมหดรัด ตัวของมดลูก (Braxton-Hicks การหดรัดตัวของมดลูก)

การซ้อมหดรัดตัวของมดลูกหรือการเจ็บครรภ์หลอก

บางครั้งเรียกว่า การเจ็บครรภ์หลอก ซึ่งจะมีอาการที่แตกต่างจากการหดรัดตัวของมดลูกเวลาที่ ต้องคลอดจริง แต่อาจจะเป็นได้บ่อยๆ และคุณแม่สามารถรับรู้ได้ถึงการทำงานของกล้ามเนื้อนั้นด้วยการซ้อมหดรัดตัวของมดลูก จะก่อให้เกิดความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยและเกิดขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ โดยในการซ้อมหดรัดตัวของมดลูกแต่ละครั้งจะใช้เวลาและระดับของการรัดตัวที่ไม่เท่ากัน ซึ่งจะไม่ทำให้ปากมดลูกขยาย ตรวจสอบความแตกต่าง ในช่วงแรก คุณแม่อาจจะคิดว่า การซ้อมหดรัดตัวของมดลูกเป็นการเจ็บครรภ์จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณแมที่่เพิ่งตั้งครรภ์แรก แต่หาก
รู้สึกว่ามดลูกหดตัวมากกว่า 6 ครั้งใน 1 ชั่วโมง และนานกว่า 30 วินาทีในแต่ละครั้ง และอาการไม่หายไป แม้ว่าจะขยับตัว ควรรีบ
ปรึกษาแพทย์

คำแนะนำสำหรับคุณแม่

  • อาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กนั้นจำเป็นสำหรับระบบไหลเวียนเลือดของทารกและของคุณแม่ด้วย คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กให้ได้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ โดยรับประทานเนื้อแดง เป็ด ไก่ ผักใบเขียวต่างๆ และธัญพืชที่มีธาตุเหล็กสูง นอกจากนี้ควรรับประทานผลไม้ซึ่งมีวิตามิน C สูงด้วย เนื่องจาก Vitamin C นั้นช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
  • รอยแตกของผิวหนังบริเวณหน้าท้องอาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากผิวหนังมีการขยายออกอย่างรวดเร็วและถูกดึงให้ตึงมากขึ้นโดยขนาดของมดลูกที่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณแม่ควรทาครีมบำรุงผิวบ่อยๆจะช่วยลดการแตกของผิวหนังและลดอาการคันได้
  • รองเท้าของคุณแม่ตอนนี้อาจจะไม่พอดีกับเท้าอีกต่อไป คุณแม่อาจไม่เชื่อว่าคุณต้องใส่รองเท้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกเบอร์เลยทีเดียว เท้าของคุณแม่จะบวมขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้มีน้ำอยู่ในเซลล์มากขึ้น ดังนั้นควรมองหารองเท้าคู่ใหม่ที่ใส่สบายกว่า และลืมรองเท้าส้นสูงไปเลย หารองเท้าที่คุณแม่เดินได้สะดวก และไม่สะดุดหกล้มได้ง่ายๆก็จะปลอดภัยมากขึ้น

อาการของคุณแม่

  • น้ำหนักคุณแม่จะขึ้นสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม หากน้ำหนักลดลงควรจะปรึกษาแพทย์ที่ดูแลท่าน
  • มีตกขาวเพิ่มมากขึ้นซึ่งคุณแม่จะต้องรักษาสุขอนามัยให้บริเวณนั้นแห้ง คุณแม่อาจจะใส่ผ้าอนามัยซึ่งจะป้องกันกลิ่น
  • จุกท้องและอาหารไม่ย่อย มดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะดันกระเพาะอาหารทำให้เกิดกรดไหลย้อนทำให้เกิดอาการจุกบริเวณหน้าอก การแก้ไขให้หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำก่อน และหลังอาหารเนื่องจากจะทำให้อาการแย่ลง
  • ท้องผูกมดลูกที่โตจะกดลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดอาการท้องผูก

  • หน้ามืดเป็นลมเนื่องจากมดลูกกดหลอดเลือดทำให้เลือดไหลกลับเข้าหัวใจน้อยลง วิธีแก้ทำได้โดยการดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว
  • ตะคริวที่เท้าเนื่องจากขาดธาตุแคลเซี่ยม และแมกนีเซี่ยม วิธีแก้ไขทำได้โดยการรับประทานวิตามิน
  • ผิวแตกโดยเฉพาะบริเวณท้อง สะโพก ต้นขา เต้านม วิธีแก้ทำได้โดยการใช้ครีมทาเพื่อเพิ่มความชุมชื้น
  • เส้นเลือดขอด

โรคแทรกซ้อนที่เกิดกับคุณแม่

การเปลี่ยนแปลงของทารก

  • ลูกน้อยจะมีขนาดประมาณ 7.5 - 8 นิ้ว ตั้งแต่ศีรษะจรดสะโพก หรือเท่ากับหัวกะหล่ำปลีและมีน้ำหนักประมาณ 1 ปอนด์
  • อวัยวะต่างๆได้มีการพัฒนาไปจนเกือบสมบูรณ์แล้ว
  • อัตราการเต้นของหัวใจของทารกในขณะที่จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 140 – 150 ครั้ง/นาที และตอนนี้อวัยวะทั้งหมดยกเว้นปอดสามารถทำงานได้แล้ว
  • หากเราได้ทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองของทารกเมื่ออายุครรภ์ 24 สัปดาห์นั้น เราจะพบว่าเซลล์สมองได้มีการพัฒนาส่วนที่รับรู้สติ และทารกจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากภายนอกมากขึ้น และได้มีการพัฒนาวงจรของการหลับและการตื่น
  • ปอดของทารกตอนนี้ยังเต็มไปด้วยน้ำคร่ำ และยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาต่อไปอีกหลายสัปดาห์ จนกว่าถุงลมปอดเล็กๆนั้นจะสามารถทำการแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้
  • ระบบทางเดินอาหารมีการพัฒนาจนสามารถดูดซึมน้ำคร่ำได้และทำงานอย่างเป็นระบบ ทารกมีการกลืนน้ำคร่ำเข้าไปและขับถ่ายออกมาหมุนเวียนเป็นน้ำคร่ำใหม่
  • ตับของทารกเริ่มทำงานโดยการสร้าง enzymes หลายชนิดซึ่งจะสลายเม็ดเลือดทำให้เกิด bilirubinซึ่งจะขับออกทางรกผ่านทางเลือดแม่.
  • ระบบสืบพันธุ์จะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในเพศชาย ลูกอัณฑะจะเริ่มเคลื่อนลงมา เพศหญิงรังไข่และมดลูกจะเคลื่อนลงสู่ตำแหน่งปกติและ พัฒนาช่องคลอด ซึ่งจะมีไข่เพียงพอสำหรับการเจริญพันธุ์
  • ประสาทสัมผัสและการรับรู้รสชาติของลูกน้อยจะพัฒนาขึ้นอย่างมากในสัปดาห์นี้ ต่อมรับรสจะถูกสร้างขึ้น
  • ใบหน้าเล็กๆและเรียว ทำให้ดูตาโต เปลือกตาเริ่มที่จะเปิดออกได้ ทารกจะสามารถลืมตาได้แล้ว และมีขนคิ้วขึ้นบางๆ
  • ผิวหนังของทารกยังคงบางมากและเหี่ยวย่น และมีขนอ่อนปกคลุมซึ่งเรียกว่า lanugo ซึ่งจะรักษาอุณหภูมิของทารก ซึ่งจะหลุดออกเมื่อคลอด และอาจจะดูเหี่ยวย่นเนื่องจากยังมีไขมันมาสะสมตามร่างกายไม่มากนัก และต่อมเหงื่อได้มีการพัฒนาขึ้นภายใต้ผิวหนัง
  • นิ้วมือกำลังพัฒนา ทารกของคุณมีลายนิ้วมือแล้วในตอนนี้เช่นเดียวกับนิ้วเท้า
  • ทารกจะถูกล้อมรอบด้วยน้ำคร่ำ 500 มิลลิลิตร ซึ่งจะช่วยให้ทารกสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และช่วยให้ทารกสามารถพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคล้ายกับการซ้อมเคลื่อนไหว หรือออกกำลังกาย หรือบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายให้หายเมื่อย ทารกสามารถเตะ ดูดนิ้ว หรือ อ้าปาก นอกจากนี้ทารกของคุณสามารถไอหรือสะอึกได้ด้วย แต่ไม่ต้องกังวลเพราะทารกสามารถช่วยตัวเองได้โดยกลืนน้ำคร่ำอุ่นๆเข้าไป เพราะนี่เป็นกลไกของธรรมชาติ
  • ทารกยังสามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวหรือเสียงดังจากภายนอกได้
  • กระดูกในหูของทารกเริ่มแข็งขึ้นและช่วยให้สามารถได้ยินเสียงต่างๆได้ดีขึ้น ทารกสามารถแยกเสียงที่เกิดขึ้นจากภายในมดลูกและจากสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ ลูกสามารถจดจำเสียงของคุณแม่
  • ทารกเริ่มจะมีการนอน และการตื่นเป็นเวลาซึ่งอาจจะไม่สัมพันธ์กับคุณแม่

หากเด็กในช่วงนี้ (20-24 สัปดาห์)คลอดก่อนกำหนดจะไม่สามารถมีชีวิต เนื่องจากปอดและอวัยวะภายในยังพัฒนาไม่พอ

การตรวจที่สำคัญในระยะการตั้งครรภ์ 22 สัปดาห์

  • หากคุณแม่ไปฝากครรภ์ในระยะ 22 สัปดาห์ และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แพทย์จะขอคุณแม่เจาะเลือดตรวจเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • การตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ นอกจากสามารถตรวจดูว่ามีความผิดปกติใดๆในร่างกายของผู้ป่วยได้แล้ว ยังสามารถตรวจดูทารกที่อยู่ในท้องของคุณแม่ได้อีกด้วยว่ามีสุขภาพสมบูรณแข็งแรงหรือไม่ ปัจจุบันการตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ คุณหมอจะสามารถมองเห็นตัวของทารกได้อย่างชัดเจน สามารถวัดขนาดได้ว่าตอนนี้ทารกตัวยาวกี่เซนติเมตร สามารถเห็นการเต้นของหัวใจ และบอกได้เลยว่าทารกมีความผิดปกติของรูปร่างหรือไม่ มีหน้าตาเป็นอย่างไร อ้วนหรือผอม เป็นเพศชายหรือเพศหญิง

โรคแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ในระยะนี้

ภาวะครรภ์เป็นพิษ Preeclampsia

ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะที่มีความดันโลหิตสูง เกิดขึ้นได้กับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นครรภ์แรก และมักพบหลังจากอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ อาการของครรภ์เป็นพิษได้แก่

  • น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีการคั่งของน้ำทำให้มีอาการบวมของเท้า มือ และข้อต่างๆ
  • ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ
  • ความดันโลหิตสูงมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90มิลิเมตรปรอท และมีอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว และอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย

ภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญซึ่งสามารถป้องกันและรักษาได้ โดยคุณแม่จะต้องร่วมมือกับแพทย์ในการรักษา อ่านเรื่องครรภ์เป็นพิษ

ปากมดลูกเปิดก่อนกำหนด

ในระหว่างการตั้งครรภ์ปกติปากมดลูกจะปิดอยู่ตลอด แต่เมื่อใกล้คลอดปากมดลูกจะเริ่มเปิดออก การที่ปากมดลูกเปิดก่อนกำหนดเกิดจาก

  • พันธุกรรม
  • เคยได้รับการผ่าตัด
  • การแท้ง
  • การที่ตั้งครรภ์โดยมีจำนวนทารกมากกว่าหนึ่งคน

การที่ทารกมีการเจริญเติบโตมากขึ้นและมีแรงกดดันลงไปที่ปากมดลูกซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแท้งขึ้นได้ ถ้าปากมดลูกเปิดโดยที่ไม่มีการบีบรัดตัวของมดลูกแพทย์จะสามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจภายใน การที่ปากมดลูกเปิดก่อนกำหนดนั้นถือเป็นกรณีที่ฉุกเฉินจะต้องมีการเย็บผูกปากมดลูกเอาไว้เพื่อป้องกันการแท้ง การมีเลือดออกทางช่องคลอดก็เป็นอาการแสดงของการที่กำลังจะแท้งซึ่งเกิดจากปากมดลูกเปิดก่อนกำหนด

การเย็บผูกปากมดลูกช่วยป้องกันการแท้ง ป้องกันการคลอดก่อนกำหนดได้ถึง90 % และความเสี่ยงของการเย็บผูกปากมดลูก ได้แก่ เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ติดเชื้อ และถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด

 มีเลือดออก

การมีเลือดออกระหว่างการตั้งครรภ์ไม่ว่าจะเป็นในช่วงใดก็ตามจะต้องรายงานแพทย์ให้ทราบ ในช่วงของไตรมาสที่ 2 การมีเลือดออกทางช่องคลอดมักมีสาเหตุมาจาก รกเกาะต่ำ Placenta previa เมื่อตัวอ่อนไปฝังตัวที่ส่วนล่างของมดลูกใกล้กับปากมดลูกทำให้รกเกาะอยู่ใกล้ หรือปิดปากมดลูกไปเลย เป็นสาเหตุให้มีเลือดออก และจำเป็นต้องผ่าตัดคลอด รกเกาะต่ำ Placenta previa สามารถวินิจฉัยได้โดยการตรวจอัลตร้าซาวด์ หากคุณแม่มีรกเกาะต่ำและเป็นสาเหตุให้มีเลือดออก คุณแม่อาจจำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาลจะเป็นการดีกว่าและปลอดภัยต่อทารกหากอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ จนกระทั่งอายุครรภ์ได้ 36 สัปดาห์ ซึ่งการผ่าตัดคลอดก็สามารถกระทำได้อย่างปลอดภัย

หากมีเลือดออกและมดลูกมีการหดรัดตัวอาจเป็นอาการแสดงของรกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน หมายถึง รกมีการลอกตัวออกจากผนังมดลูกต้องรีบไปโรงพยาบาลด่วน

โภชนาการ

การมีโภชนาการที่ดีมีความสำคัญมากพอกับการมีพฤติกรรมที่ดี ต่อไปนี้เป็นรายการอาหารที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยง:

  • แม้ว่าเนื้อปลาจะเป็นอาหารที่มีโปรตีน โอเมก้า และแร่ธาตุ แต่ก็มีเนื้อปลาบางชนิดที่ไม่ควรจะรับประทานเนื่องจากมีสารตะกั่วค่อนข้างสูง ควรงดอาหารทะเลบางชนิด
  • หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ยังปรุงไม่สุกในระหว่างการตั้งครรภ์ เพราะคุณแม่อาจติดเชื้อแบคทีเรียจากอาหารที่เป็นพิษได้ง่าย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการเผาผลาญอาหารและการไหลเวียนโลหิต ดังนั้น ควรปรุงอาหารให้สุกเพื่อความปลอดภัย รวมถึงการอุ่น
    ไส้กรอกและแฮมให้ร้อนก่อนรับประทาน
  • หลีกเลี่ยงชีสที่ทำจากนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ เนื่องจากชีสอาจมีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายอยู่ แต่โดยส่วนมากชีสที่ผลิตในสหรัฐฯ จะ ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ อย่างไรก็ตามควรอ่านฉลากก่อนบริโภค
  • จำกัดปริมาณคาเฟอีน คาเฟอีนสามารถซึมผ่านรกในครรภ์และส่งผลกระทบต่อหัวใจและอัตราการหายใจของลูกน้อย
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพในระหว่างการตั้งครรภ์ได้

การตั้งครรภ์สัปดาห์ที่21 การตั้งครรภ์สัปดาห์ที่23

 

เพิ่มเพื่อน