โรคไวรัสตับอักเสบ เอ Hepatitis A

ข้อเท็จจริงที่ควรทราบเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบ เอ

  • โรคไวรัสตับอักเสบเอ เกิดเชื้อไวรัสซึ่งสามารถทำให้เกิดการอักเสบของตับ ตั้งแต่อาการน้อยจนถึงรุนแรงมาก
  • การแพร่เชื้อจะเกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อ
  • การเกิดการระบาดของโรคไวรัสตับอักเสบ เอเกิดจากระบบสาธารณสุขเรื่องน้ำ และสิ่งแวดล้อมไม่ดี
  • การระบาดจะทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ
  • การปรับปรุงระบบสาธารณสุข และการฉีดวัคซีนจะป้องกันการระบาดของโรค

ตับอักเสบ เอ

โรคไวรัสตับอักเสบ เอเกิดจากเชื้อไวรสกลุ่ม picornavirus ติดเชื้อเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอจะมีภูมิอยู่ตลอดชีวิตและจะไม่เป็นโรคนี้อีก โรคไวรัสตับอักเสบเอ เกิดจากคนที่ไม่มีภูมิได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ จากทางน้ำดื่ม หรือทางอาหารที่ปนเชื้อเข้าไป โรคนี้จะเกิดในประเทศที่ระบบสุขาภิบาล และน้ำดื่มไม่ดี ร่วมกับสุขอนามัยส่วนบุคคลไม่ดี

ไวัสตับอักเสบเอ จะต่างกับไวรัสตับอักเสบบีและซี อย่างไร

ผู้ที่ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบเอ มักจะมีอาการไม่รุนแรง โดยมากมักจะไม่เสียชีวิต และที่สำคัญจะไม่ค่อยพบโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง แต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยมักจะมีปัญหาเรื่องอ่อนเพลีย

ระยะฟักตัวโรคไวรัสตับอักเสบ เอ

คือระยะเวลาตั้งแต่เราได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการของโรคโดยเฉลี่ยประมาณ 28 วัน(15-50)

การติดเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบ เอ

การติดต่อของโรคเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบเข้าไป นอกจากนั้นอาจจะเกิดจากการสัมผัสโดยตรงซึ่งเกิดไม่บ่อย ไวรัสตับอักเสบ เอ ติดต่อโดยการรับประทานเชื้อเข้าไป การติดต่ออาจจะเกิดจากรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อเข้าไป หรืออาจจะเกิดจากการติดเชื้อจากคนหนึ่งสู่อีกคน เชื้อนี้ไม่ติดต่อทางน้ำลายหรือปัสสาวะ

 

ระยะติดต่อโรคไวรัสตับอักเสบ เอ

ระยะเวลาที่จะติดต่อคนอื่นได้ง่ายที่สุดคือระยะเวลาก่อนเกิดอาการ 2 สัปดาหและอาจจะอยู่ได้หลายสัปดาห์หลังจากมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองแล้ว์ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ผลเลือดมีการอักเสบของตับ แม้ว่าผลเลือดจะกลับสู่ปกติเราก็ยังสามารถพบเชื้อในเลือดของผู้ป่วย

ระยะ3-10 วันก่อนเกิดอาการเราจะพบเชื้อปริมาณมากในอุจาระจนกระทั้งสองสัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะที่ติดเชื้อได้ง่ายที่สุด

โรคนี้มักจะไม่ติดต่อทางการให้เลือดเนื่องจากช่วงที่มีเชื้อในกระแสเลือดผู้ป่วยมักจะเกิดอาการของโรคแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีการตรวจหาเชื้อไวรสตับอักเสบ เอก่อนการบริจาคเลือด

โรคนี้ไม่ติดต่อจากแม่ไปลูก

คนจะได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอจากทางใดบ้าง

  • รับประทานอาหารจากผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้และไม่ได้ล้างมืออย่างสะอาดหลังเข้าห้องน้ำ
  • มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดชื้อนี้
  • ไม่ได้ล้างมือหลังเปลี่ยนผ้าอ้อม
  • รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อ

อาการของผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ เอ

ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปีมักจะไม่มีอาการแสดงอะไร สำหรับวัยรุ่นขึ้นไปพบว่าร้อยละ70-90 จะมีอาการของตับอักเสบ อาการที่สำคัญได้แก่

  • มีไข้
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • แน่นชายโครงขวา
  • ท้องร่วง
  • ปัสสาวะสีเข็ม อุจาระซีด
  • และ มีอาการตัวเหลืองตาเหลืองที่เรียกว่าดีซ่าน
  • โดยทั่วไปอากาจะหายไปใน 2 เดือน บางรายอาการอยู่ได้ 6 เดือน ผู้ป่วยมักจะมีอาการหลังจากได้รับเชื้อ 28 วัน (15-50 วัน)
  • ผู้ใหญ่จะมีอาการและความรุนแรงมากกว่าเด็ก ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการอาจจะไม่ครบทุกอย่าง

อาการของไวรัสตับอักเสบ เอ แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่

  1. ระยะแรกเรียกว่า ระยะฟักตัวเป็นระยะตั้งแต่ไดรับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการของโรคโดยปกติประมาณ 28 วัน ระยะนี้จะเป็นระยะที่สำคัญในการแพร่เชื้อ
  2. ระยะเกิดอาการทั่วๆไปหรือ Prodome ผู้ป่วยจะเกิดอาการทั่วไปดังกล่าวข้างต้นแต่ยังไม่มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง
  3. ระยะตัวเหลืองตาเหลือง ระยะนี้จะเริ่มหลังจากระยะที่สองประมาณ 10 วัน หลังจากตัวเหลืองตาเหลืองอาจจะมีไข้ได้อีก 2-3 วัน เมื่อมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองแล้วเรามักจะไม่พบเชื้อในกระแสเลือด แต่ยังสามารถพบเชื้อในอุจาระและยังสามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้อีก 2-3 สัปดาห์
  4. ระยะฟื้นตัว แม้ว่าการฟื้นตัวของไวรัสตับอักเสบ เอจะช้าแต่ส่วนใหญ่หายขาดโดยที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน

หากแพทย์ตรวจร่างกายจะพบว่าตับม้ามโต มีดีซ่าน

ประมาณว่าร้อยละ 10-15 จะมีการกำเริบในระยะเวลา 6 เดือนตั้งแต่เกิดการอักเสบของตับ โรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือการเกิดตับวายพบได้น้อยมากประมาณร้อยละ 0.5

ปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อได้แก่

  • ผู้ที่อาศัยในบ้านหรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วย
  • เจ้าหน้าที่บุคคลากรทางการแพทย์
  • นักท่องเที่ยวจากประเทศพัฒนาไปยังระเทศที่มีการระบาด
  • ประชาชนที่อาศัยในประเทศที่มีการระบาด
  • เด็กหรือเจ้าหน้าที่ในศูนย์เลี้ยงเด็ก
  • ผู้ที่อาศัยในชุมชนแออัด
  • ผู้อพยพที่อาศัยในที่พักชั่วคราว
  • ชายรักร่วมเพศ
  • ผู้ที่ใช้ยาเสพติด
  • โรคเลือดที่ต้องรับการถ่ายเลือดบ่อย
  • ผู้ที่เป็นโรคตับ
  • ผู้ที่ทำอาหาร
  • คนที่ทำงานเกี่ยวกับลิง
  • นักท่องเที่ยวไปยังถิ่นระบาด

การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบ เอ

ผู้ป่วยที่มีตับอักเสบ คือมีอาการดังกล่าว และเจาะเลือดพบว่าค่า SGOT ,SGPT สูงแสดงมีมีการอักเสบของตับ อ่านเรื่องการแปรผลเลือด แพทย์จะเจาะเลือดเพิ่มเพื่อหาสาเหตุของตับอักเสบ เช่น IgM HbAg,IgM anti-HAV ภูมิจะสามารถตวจพบในระแสเลือด 5-10 ก่อนเกิดอาการ ภุมินี้จะค่อยๆลงในระยะเวลา 6 เดือนหรือเพาะเชื้อพบไวรัสตับอักเสบ เอ หากว่าค่าใดค่าหนึ่งขึ้นแสดงว่าเป็นตับอักเสบชนิดนั้น

การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ เอ

ผู้ป่วยตับอักเสบ เอ หายเองได้ พักผ่อนให้เพียงพอ ต้องระวังยาที่มีผลต่อตับ เช่น paracetamol

การป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ

การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ มีได้ 2 วิธีคือ

  1. Immune globulin เป็นภูมิต่อไวรัสตับอักเสบ เอ จะให้ในกรณีต้องการป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ ในระยะสั้น เช่น ให้เพื่อป้องกันก่อนสัมผัสโรค หรือให้หลังสัมผัสโรคไม่เกิน 2 สัปดาห์
  2. Hepatitis A vaccine จะใหในกรณีเด็กอายุมากกว่า 2 ขวบที่เสี่ยงต่อการไดัรับไวรัสตับอักเสบเอ และ เมื่อได้รับเชื้อจะเกิดอันตราย อ่านเรื่องการป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ

ผลของโรค

หลังจากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ แล้วมีผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

 

ผลของโรค

 

เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี

ผู้ใหญ่

ไม่มีอาการ

80-95%

10-25%

มีอาการ/ตัวเหลืองตาเหลือง

5-20%

75-90%

หายขาด

99+%

98+%

เป็นโรคตับเรื้อรัง

none

อัตราการเสียชีวิตผู้ป่วยอายุ <14 ปี

0.1%

อัตราการเสียชีวิตผู้ป่วยอายุ<15-39 ปี

0.3%

อัตราการเสียชีวิตผู้ป่วยอายุ>40 ปี

2.1%

การป้องกันไม่ให้รับเชื้อ

  • ล้างมือทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำหรือก่อนปรุงอาหาร
  • ใส่ถุงมือเมื่อต้องสัมผัสอุจาระคนอื่นและล้างมือ
  • เมื่อต้องไปต่างประเทศให้ดื่มน้ำต้มสุก

ขนาดของวัคซีน  ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ฉีดคือเดือน 0 ครั้งต่อไป 6 และ 12 เดือน ตามลำดับ

อายุ(ปี)

ปริมาณ

จำนวนเข็ม

ระยะเวลาที่ฉีด (เดือน)

2-18

>18

0.5 ml

1 ml

3

3

0,6,12

0,6,12

การให้วัคซีนสามารถให้พร้อมกับวัคซีนอื่น เช่น ไวรัสตับอักเสบ บี บาดทะยัก วัคซีนป้องกันคอตีบ วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ วัคซีนนี้ปลอดภัย

ให้วัคซีนแล้วภูมิจะเกิดขึ้นเมื่อไร และอยู่นานแค่ไหน

จะเริ่มเกิดภูมิหลังได้วัคซีนเข็มแรก 4 สัปดาห์และอยู่ได้นานประมาณ 20 ปี

ควรจะทดสอบภูมิคุ้มกันก่อนหรือหลังให้วัคซีนหรือไม่

จะทดสอบภูมิคุ้มกันก่อนให้ในกรณีที่สงสัยว่าเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ มาก่อน หรือเกิดในประเทศที่มีความชุกชุมของโรคมาก หลังฉีดไม่นิยมทดสอบภูมิคุ้มกัน

ถ้าลืมฉีดเข็มที่สองทำอย่างไร

ให้ฉีดทันที่ที่จำได้ และ ไม่ต้องเริ่มต้นเข็มแรก เข็มที่สามนับห่างจากเข็มที่สอง 6 เดือน รายละเอียดการฉีดวัคซีนคลิกที่นี่

ใครควรได้วัคซีนก่อนเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด

ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน เมื่อจะต้องไปประเทศที่มีการระบาดควรได้รับวัคซีน 4 สัปดาห์ก่อนเดินทาง ถ้าแพ้วัคซีน อาจให้ immunoglobulin