การให้ฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง
เมื่อคุณผู้หญิงอยู่ในช่วงวัยทองจะมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้เกิดอาการต่างของวัยทอง
จึงได้มีการพิจารณาให้ฮอร์โมนทดแทนโดยหวังว่าจะสามารถลดอัตราการเกิดโรค กระดูกพรุน
โรคหัวใจ และภาวะร้อนตามตัวลดลง
การใช้ฮอร์โมนทดแทนได้ถูกนำมาใช้ปี คศ.1950-1960 โดยการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน
Estrogen โดยนิยามว่าสามารถทำให้กลับเป็นสาวได ้จึงได้นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย
จนกระทั่งปี คศ.1970 พบว่าการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้เกิดมะเร็งของมดลูกเพิ่มขึ้น
4-10 เท่าจึงลดเกิดความตระหนกและการใช้ฮอร์โมนนี้ลงไป
ต่อมาก็ได้มีการค้นคว้าว่าสามารถลดการเกิดมะเร็งมดลูก โดยการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนขนาดต่ำร่วมกับฮอร์โมนโปรเจสติน
progestin
ปัจจุบันการใช้ฮอร์โมนทดแทนโดยใช้ฮอร์โมนทั้งสองชนิดในขนาดต่ำก็มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย นอกจากรักษาอาการของวัยทองแล้วยังมีการแนะนำใช้เพื่อป้องกันโรคหัวใจหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุนจนกระทั่งองค์การอาหารและยาแนะนำให้ใช้กับผู้ป่วยวัยทองทุกคน
แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งว่าการให้ยาในระยะยาวยังไม่มีการศึกษาผลดีและผลเสียของยา
ก่อนการให้ฮอร์โมนต้องประเมินผลดีและผลเสียของการให้ฮอร์โมนทดแทน
นำผลดีผลเสีย
ความรุนแรงของอาการและผลข้างเคียงมาชั่งน้ำหนักว่าท่านจะรับได้มากน้อยแค่ไหน
ระยะเวลาที่ควรจะให้ฮอร์โมนทดแทน
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรจะให้ฮอร์โมนทดแทนเร็วที่สุดเพื่อให้เกิดผลต่อการป้องกันโรคกระดูกพรุน
และโรคหัวใจและสมอง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ยาไม่เกิน 10
ปีเนื่องจากว่ากลัวภาวะมะเร็งเต้านม
ผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะนำว่าให้เกิดอาการของวัยทองก่อนเป็นเวลา 10 ปี
ชนิดของฮอร์โมนทดแทน
เอสโตรเจน
การใช้ฮอร์โมนทดแทนโดยใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเพียงชนิดเดียวจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคหัวใจ
แต่ข้อเสียทำให้เกิดโรคมะเร็งมดลูกสูง
การให้ฮอร์โมนชนิดนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ตัดมดลูกแล้ว
ข้อบ่งชี้ในการให้ฮอร์โมนทดแทน
- ใช้รักษาอาการร้อนตามตัว
- ใช้รักษาอาการช่องคลอดแห้ง
ปัสสาวะบ่อย
- ใช้รักษาโรคกระดูกโปร่งบาง
- ใช้รักษาอารมณ์แปรปรวนและนอนไม่หลับ
- โรคหัวใจ
- โรคสมองเสื่อม Alzheimer
- ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ลดโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน
เหตุผลที่จะไม่ใช้เอสโตรเจน
- ประวัติมะเร็งเต้านม
- ประวัติมะเร็งมดลูก
- โรคตับ
- เกิดลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดที่เท้า
- ประจำเดือนผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
การใช้ยาเอสโตรเจนและโปรเจสเตอร์โรน
โดยการใช้ฮอร์โมนทั้งสองชนิดผสมกันจะช่วยลดอุบัติการณ์ของมะเร็งมดลูกแต่มีอาการข้างเคียงของยาโปรเจสตีนเพิ่มเช่น
คัดเต้านม ท้องอืด บวม มีประจำเดือน
วิธีการให้ฮอร์โมน
ผู้ที่ไม่ควรใช้ฮอร์โมนทดแทน
- ขณะตั้งครรภ์
- มีเลือดออกช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เคยเป็นหรือสงสัยมะเร็งมดลูกและเต้านม
- เคยมีลิ่มเลือดแข็งตัวง่าย
- โรคหัวใจ
- โรคตับ
- แคลเซียมในเลือดสูง
- ตับอ่อนอักเสบ
|
- โดยการกินยาวิธีนี้ผลดีที่ได้คือระดับไขมัน HDL สูงขึ้นข้อเสียคือระดับฮอร์โมนในเลือดไม่คงท ี่เนื่องจากการทำลายที่ตับ
- โดยการฉีด
ยาจะไม่ผ่านตับข้อเสียคือหลังฉีดใหม่ๆจะมีระดับสูง แต่เมื่อนานวันระดับฮอร์โมนจะลดลง
และระดับ HDL ไม่เพิ่มเหมือนชนิดกิน
- การใช้แผ่นปิด(estrogen-filled patch)ที่แขนหรือก้น 1
แผ่นอาจจะอยู่ได้หลายวันและระดับ HDL ก็ไม่สูง
- โดยการฝังฮอร์โมน ข้อเสียคือระดับฮอร์โมนในเลือดอาจจะสูงเกินไป2-3 เท่า
- การใช้ครีมทาที่ผิวหนังโดยเป็นตัวฮอร์โมนสองชนิดผสมกัน
ข้อเสียคือระดับฮอร์โมนในเลือดไม่คงที่
- การใช้ครีมทาช่องคลอดโดยมีตัวเอสโตรเจนเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการช่องคลอดแห้ง
วิธีการกินยามีอยู่กี่วิธี
- กินยาฮอร์โมนเอสโตรเจนตัวเดียวควรเลือกใช้ในคนที่ตัดมดลูกไปแล้ว
- กินยาแบบ cyclic HRT คือรับประทานเอสโตรเจนทุกวัน วันที่
12-14 ของรอบเดือนให้เพิ่มโปรเจสเตอร์โรน หลังจากนั้นเป็นยาที่ไม่มีฮอร์โมน 5-6 วัน
เหมาะสำหรับผู้ที่ยังมีประจำเดือนแต่มีอาการของวัยทอง
- กินยาแบบ continuous HRT คือรับประทานทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอร์โรนทุกวัน
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ประจำเดือนไม่มาแล้ว 6-12 เดือน
ประโยชน์การใช้ฮอร์โมนทดแทน
- ป้องกันโรคกระดูกพรุน ความหนาแน่นของกระดูกจะเริ่มลดลงเมื่ออายุย่างเข้า 35
ปีและจางลงไปเรื่อยๆ การเริ่มยาให้เริ่มเมื่อเกิดวัยทองและให้ต่อไปเรื่อย
เมื่อหยุดยากระดูกก็เริ่มจาง นอกจากนั้นต้องรับประทานอาหารที่มีแคลเซ๊ยมและมีการออกกำลังกาย
- ป้องกันโรคหัวใจโดยเชื่อว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเพิ่มระดับ HDL ซึ่งจะป้องกันโรคหัวใจ
- ลดอาการของวัยทอง
- ร้อนตามตัวและมีเหงื่อออก
ผู้ป่วยวัยทองจะมีอาการร้อนตามตัวโดยเฉพาะส่วนบนของร่างกายและตามด้วยอาการเหงื่ออก
บางคนอาจจะมีอาการหนาวสั่นเชื่อว่าเกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ต่ำลง
- ช่องคลอดแห้งและคันเนื่องจากการขาดเอสโตรเจน
- ปัสสาวะเร็ด เนื่องจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง
การให้ฮอร์โมนจะช่วยลดอาการปัสสาวะเร็ด
- ลดอาการอารมญ์แปรปรวน
ผลข้างเคียงของการให้ฮอร์โมน
- คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง
- ดีซ่าน
- คัดเต้านม
- เนื้องอกมดลูก
- ประจำเดือนไม่ปกติ
- ตกขาว
- เกิดการคั่งของน้ำและเกลือ ทำให้โรคหอบหืด หัวใจ ไมเกรนแย่ลง
- ฝ้า
- ปวดศีรษะ
- ผมร่วง
- นำหนักเพิ่ม
- น้ำตาลในเลือดเพิ่ม
|
- เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมดลูก เกิดจากการรับประทานฮอร์โมนที่มีแต่เอสโตรเจน
พบว่าหากรับประทานขนาดสูง และเป็นเวลานานความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมดลูกจะเพิ่มขึ้น
- มะเร็งเต้านม มีหลักฐานยืนยันว่าการรับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนขนาดสูง และเป็นเวลานาน
10-15 ปีจะเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น จนแพทย์บางท่านแนะนำว่าไม่ควรให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเกิน
5 ปี สำหรับฮอร์โมนที่เป็นส่วนผสมข้อมูลยังไม่แน่ชัด
ดังนั้นผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม
ท่านต้องชั่งน้ำหนักผลดีและผลเสียของการรับฮอร์โมน
- นิ่วในถุงน้ำดี
ฮอร์โมนจะทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ควรจะหลีกเลี่ยง
หากจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนก็ใช้ชนิดปิดหรือชนิดทา
ผลข้างเคียงของการให้ฮอร์โมน
- จะมีเลือดออกเหมือนประจำเดือน เมื่อใช้ฮอร์โมนไประยะหนึ่งจะเกิดมีเลือดออกช่องคลอด
- คัดเต้านม
- ผลข้างเคียงอื่นคือคลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ ตกขาว น้ำหนักเพิ่ม ท้องอืด
ระหว่างการรับฮอร์โมนต้องเฝ้าระวังอะไรบ้าง
- เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ
- ปวดน่องและมีอาการบวมเนื่องจากโรคชั้นประหยัด
- ปวดศีรษะ อาเจียนอ่อนแรงแขนขา
- ก้อนที่เต้านม
- ดีซ่าน
- ปวดท้อง ระวังนิ่วในถุงน้ำดี
ข้อมูลล่าสุดไม่สนับสนุนการใช้ฮอร์โมนชนิดผสม
ดังที่ได้กล่าวตังแต่เริ่มต้นเกี่ยวกับผลดีของการใช้ฮอร์โมนชนิดผสมและติดตามผลข้างเคียงของฮอร์โมนซึ่งตีพิมพ์ในวรสาร
July 17 issue of The Journal of the American Medical Association (JAMA) โดยตั้งใจจะศึกษาเป็นเวลา 8 ปีแต่ผ่านไป
5ปีต้องยุติเนื่องจากผลเสียของยาฮอร์โมนชนิดผสมมีมาก
การศึกษามุ่งจะค้นหาคำตอบว่าการให้ฮอร์โมนผสมสามารถที่ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและกระดูกพรุนได้หรือไม่
และมีการเกิดผลข้างเคียงอย่างอื่นเป็นอย่างไร จึงได้มีการศึกษาผู้ป่วยวัยทอง 16600
คนอายุ 50-75 ปีแบ่งเป็น 2กลุ่มคือ
- ผู้ที่ยังไม่ได้ตัดมดลูกจะให้ฮอร์โมนผสม
เนื่องจากต้องการลดอุบัติการณ์ของมะเร็งมดลูก
- ผู้ที่ตัดมดลูกไปแล้ว ให้ฮอร์โมนที่มีเอสโตรเจนอย่างเดียว
หลังการศึกษา 5 ปีต้องยุติเนื่องจากผลเสียของการให้ฮอร์โมนปรากฎดังนี้ ทุก 10000
คนที่รับประทานยาคุมกำเนิดชนิดผสมจะเกิดผลเสียดังนี้
- ผู้ที่กินยาฮอร์โมนผสมจะเกิดโรคหัวใจมากกว่าคนที่ไม่ได้กิน 7 คน
- เกิดอัมพาตมากว่าคนที่ไม่ได้กิน 8 คน
- เกิดมะเร็งเต้านมมากกว่า 8 คน
- เกิดลิ่มเลือดแข็งตัวมากกว่า 18 คน
หากจะเทียบเป็นร้อยละก็จะได้ผลดังนี้
- หลอดเลือดสมองเพิ่ม 41%
- โรคหัวใจเพิ่ม 29%
- ลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำเพิ่มขึ้น 1 เท่า
- โรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่ม 22%
- มะเร็งเต้านมเพิ่ม 26%
- ลดการเกิดมะเร็งลำไส้ 37%
- ลดกระดูกสะโพกหักลงไปหนึ่งในสาม
- ลดอัตรากระดูกหัก 24%
- อัตราการตายไม่เปลี่ยนแปลง
สรุปได้ว่า
- การให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียวไม่เพิ่มอัตราการเกิดมะเร็งเต้านม
- การให้ฮอร์ดมนผสมเอสโตรเจนและโปรเจสเตอร์โรนจะเพิ่มอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองโรคหัวใจ
ลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือด
- ในการป้องกันโรคกระดูกพรุน เราสามารถใช้วิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพ
- ถ้ามีอาการร้อนวูบวาบตามตัวและไม่มีอาการอื่น ก็ไม่จำเป็นต้องฮอร์โมนทดแทน
- เนื่องวัยทองอาจจะใช้เวลาหลายปี การให้ฮอร์โมนทดแทนเป็นเวลานานอาจจะเป็นอันตราย
- คนที่มีประวัติโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งเต้านม ไม่ควรใช้ฮอร์โมนทดแทน
- คนอ้วนก็ไม่ควรใช้ฮอร์โมนทดแทน
ข่าว
- การใช้ฮอร์โมนทดแทนทำให้เกิดมะเร็งเพิ่มขึ้น อ่านที่นี่