ต่อมทอนซิลอักเสบ tonsillitis เป็นสาเหตุของการเจ็บคอ
ต่อมทอนซิล tonsils คืออะไร
หากเราอ้าปากส่องกระจกดูตรงคนลิ้นจะพบเนื้อเยื่ออยู่ข้างๆบริเวณโคนลิ้น คืิต่อมทอนซิล สำหรับคนที่ต่อมทอนซิลอักเสบบ่อยจะพบว่าต่อมทอนซิลโต ต่อมทอนซิลเป็นกลุ่มของเนื้อเยื่อประเภทต่อมน้ำเหลือง ภายในต่อม มีเม็ดเลือดขาวหลายชนิด มีหน้าที่หลักคือ
- การจับและทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายทางทางเดินอาหาร
- หน้าที่รองลงมาคือ สร้างภูมิคุ้มกัน
ต่อมทอนซิลมีอยู่กี่ตำแหน่ง
ต่อมทอนซิลในคนคอมีอยู่ 3 ตำแหน่งคือ
- จะอยู่ด้านข้างของช่องปากเรียกว่าพาลาทีนทอนซิล (palatine tonsil)
- ต่อมทอนซิลที่โคนลิ้น (lingual tonsil)
- ต่อมทอนซิลที่ช่องหลังโพรงจมูก (adenoid tonsil)คือ
ต่อมทอนซิลอักเสบ Tonsillitis
ต่อมทอนซิลอักเสบหมายถึงมีการอักเสบของต่อมทอนซิล ซึ่งอาจจะกิดจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย การอักเสบอาจจะลามไปถึงที่โคนลิ้น และที่ด้านหลังโพรงจมูก และอาจจะลามยังเนื้อเยื่อที่ด้านหลังของคอที่เรียกว่าคออักเสบ Pharyngitis
อาการของต่อมทอนซิลอักเสบ
อาการต่อมทอนซิลอักเสบ จะมีลักษณะคล้ายโรคลำคออักเสบทั่วไป คือ
- มีอาการเจ็บคอ อาการเจ็บคอจะเจ็บมากบริเวณด้านข้างของช่องปากทั้งสองข้าง โดยมากจะเจ็บมากว่า 48 ชั่วโมง
- กลืนอาหารลำบากโดยเฉพาะ เวลากลืนอาหารจะเจ็บมาก สำหรับเด็กจะมีอาการน้ำลายไหลเนื่องจากกลืนลำบาก
- มีอาการไข้ หนาวสั่น ไข้จะสูงหรือไข้ต่ำๆขึ้นกับสภาพผู้ป่วย เชื้อที่เป็นสาเหตุหากเป็นเชื้อแบคทีเรียจะมีไข้สูง หากเป็นไวรัสไข้จะสูงไม่มาก
- หากต่อมอักเสบเฉียบพลันจะมีไข้สูง หากต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรังไข้จะต่ำๆ
- คัดจมูก มีน้ำมูกแต่ไม่มาก น้ำมูกมักใส
- ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว
- ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการเจ็บหูเพราะการอักเสบของต่อมทอนซิลอาจจะส่งผลถึงการอักเสบของหู
- อาจจะมีอาการอาเจียนหลังรับประทานอาหาร
- อาจมีต่อมน้ำเหลืองด้านหน้าลำคอส่วนบน โตทั้งสองข้าง
- มีกลิ่นปาก
เป็นโรคต่อมทอนซิลอักเสบเมื่อไรต้องพบแพทย์
โรคต่อมทอนซิลอักเสบส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและเกิดจากเชื้อไวรัส แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ให้ปรึกษาแพทย์
- มีอาการมากกว่า 4 วันโดยที่อาการไม่ดีขึ้นเลย
- มีอาการรุนแรงเช่นรับประทานหรือดื่มน้ำไม่ได้เนื่องจากอาการปวด หรือหายใจลำบาก
- ไข้สูง
- มีจุดหนองที่ต่อมทอนซิล
- ต่อมน้ำเหลืองโตและกดเจ็บ
โรคต่อมทอนซิลอักเสบควรจะพบแพทย์เมื่อ
- มีไข้มากกว่า 101°F ร่วมกับมีต่อมน้ำเหลืองที่ลำคอโต เพราะมักเป็นการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ซึ่งไม่สามารถรักษาหายได้จากการดูแลตนเอง
- เมื่อมีต่อมทอนซิลโตเพียงข้างเดียว เพราะอาจเป็นอาการจากโรคมะเร็งได้ ดังกล่าวแล้ว
- ต่อมทอนซิลเป็นหนอง
- เมื่อดูแลตนเองแล้ว ไข้ไม่ลงภายใน 2-3 วัน
- หายใจลำบาก
- กินอาหาร หรือ ดื่มน้ำได้น้อยจากเจ็บคอมาก ในเด็กเล็กอาจกลืน น้ำลายไม่ได้ น้ำลายไหลมาก
- มีผื่นขึ้นตามตัว
- เมื่ออาการต่างๆเลวลง หรือ ไม่ดีขึ้น ภายหลังการดูแลตนเอง 1-2 วัน
- มีหนองที่คอ
- กลืนหรือหายใจลำบาก
- มีการเปลี่ยนแปลงของเสียง
สาเหตุของต่อมทอนซิลอักเสบ
เมื่อร่างกายติดเชื้อจากผู้อื่นทำให้เชื้อในคอมีปริมาณมาก ต่อมทอนซิลซึ่งมีหน้าที่กรองเชื้อจะบวม แดง โตและเจ็บเกิดภาวะที่เรียกว่าต่อมทอนซิลอักเสบ tonsillitis สาเหตุขึ้นกับอายุ เด็กโตหรือผู้ใหญ่จะเกิดจากเชื้อที่เรียกว่า Streptococcus ส่วนเด็กมักจะเกิดจากเชื้อไวรัส
การวินิจฉัยต่อมทอนซิลอักเสบ
การวินิจฉัยไม่ยากแพทย์จะให้ผู้ป่วยอ้าปากและตรวจต่อมทอนซิลในปาก
- พบว่าต่อมทอนซิลโต แดง และอาจจะมีจุดหนองที่ทอนซิล
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้คางและคอโต กดเจ็บ
- หากมีไข้สูง หรือมีจุดหนองที่ต่อมทอนซิลแพทย์จะเจาะเลือดหรือน้ำจุดหนองไปเพาะหาเชื้อแบคทีเรีย
การรักษาต่อมทอนซิลอักเสบ
ถ้าอาการอักเสบไม่มาก เจ็บคอเล็กน้อย ไม่มีไข้ ผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยา โดยให้พักผ่อนมากขึ้น ดื่มน้ำ รับประทานอาหารให้เพียงพอ ถ้าร่างกายสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ภายใน2-3 วัน อาการจะดีขึ้น แต่ถ้ามีอาการมาก ควรมาพบแพทย์ หากตรวจพบอาการอักเสบค่อนข้างรุนแรง มักจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับยาอื่นๆ ซึ่งอาการมักจะดีขึ้นในช่วง 3-7 วัน
การรักษาทั่วไป
- หยุดงาน หยุดเรียน จนกว่าอาการจะดีขึ้น หรือไข้ลงอย่างน้อย 1 วันเพื่อป้องกันเชื้อแพร่กระจายสู่ผู้อื่น
- ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำอุ่นสะอาดให้ได้มากๆอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
- ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้มที่ไม่ร้อนจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ด หรือรสจัด
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
- ควรพยายามทำความสะอาดคอบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร ด้วยการแปรงฟัน หรือกลั้วคอน้ำเกลือ หรือน้ำเปล่าหลังอาหารทุกมื้อ
- หลีกเลี่ยงการใช้เสียงชั่วคราว
- แยกของใช้ส่วนตัวเช่นแก้ว จาน ชาม ช้อน ควรใช้ช้อนกลาง
- กินยาลดไข้ ควรเป็นยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ไม่ควรกินแอสไพริน เพราะอาจเกิดแพ้ยาแอสไพรินได้และเกิดโรคที่เรียกว่า Reye syndrome.
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อยๆ เพื่อรักษาความสะอาดช่องปาก และเพื่อให้ช่องปากชุ่มชื้น
- อมยาบรรเทาอาการเจ็บคอ ซื้อยาอมได้เองตามร้านขายยาทั่วไป
- หลังได้รับยาปฏิชีวนะแล้ว 24 ชั่วโมงก็สามารถกลับไปสู่โรงเรียนหรือทำงานได้เนื่องจากจะไม่ติดต่อ
การรักษาด้วยยา
- ให้ยาบรรเทาอาการเจ็บคอ
- ยาลดน้ำมูก
- หรือลดไข้
- ให้ยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบ ถ้าสงสัยว่าต่อมทอนซิลอักเสบเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยให้ยากลุ่ม ยาในกลุ่มเพนนิซิลิน ควรรับประทานยาดังกล่าวให้นานพอ เช่น 7-10 วัน
- ในรายที่มีอาการมากๆ เช่น เจ็บคอมาก ไข้สูง รับประทานอาหารไม่ได้ แพทย์อาจแนะนำให้นอนพักรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้น้ำเกลือ และยาต้านจุลชีพทางหลอดเลือดดำ ซึ่งจะทำให้อาการทุเลา ดีขึ้นเร็วกว่า
- การให้ยากลับไปรับประทานที่บ้าน หากแพทย์พิจารณาว่า มีสาเหตุมาจากไวรัส ก็จะให้ยาตามอาการเท่านั้น เพราะยาต้านจุลชีพ ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้
หลังการรักษาอาการควรจะดีขึ้นใน 2-3 วันหลังจากได้รับยาปฏิชีวนะ สำหรับเด็กควรจะได้รับยาปฏิชีวนะครบ 24 ชั่วโมงจึงให้ไปโรงเรียนเพื่อลดการแพร่กระจาย
โรคแทรกซ้อนของต่อมทอนซิลอักเสบ
- เชื้อที่เป็นสาเหตุของทอนซิลอักเสบบางชนิดเป็นเชื้อที่รุนแรง อาจทำให้เกิดหนองรอบๆทอนซิลจนเกิดเป็นหนอง บริเวณรอบต่อมทอนซิล (peritonsillar abscess)
- โรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส (Streptococcus) สามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนของโรคหัวใจ และโรคไตได
- Rheumatic fever
- ผู้ป่วยที่มีทอนซิลอักเสบบ่อยๆขนาดของทอนซิลจะโต ซึ่งอาจทำให้ทางเดินหายใจแคบลง เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดตันได้ สังเกตได้จากขณะนอนหลับ ผู้ป่วยมักจะกรนดัง หรือสะดุ้งตื่นบ่อยๆ โดยเฉพาะในเด็ก
- ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา การอักเสบของต่อมทอนซิลอาจลุกลาม ผ่านช่องคอ เข้าสู่ช่องปอด และหัวใจได้ นอกจากนั้น เชื้อแบคทีเรีย อาจเข้ากระแสเลือด แล้วกระจายไปทั่วร่างกาย เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายอย่างมาก เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
เมื่อไรจึงจะต้องให้ยาปฏิชีวนะ
ผู้ป่วยที่ต่อมทอนวิลอักเสบส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะแม้ว่าจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หากอาการไม่มากภูมิของร่างกายก็จะจัดการฆ่าเชื้อ จะต้องรีบให้ยาปฏิชีวนะในรายดังต่อไปนี้
- อาการรุนแรง ไข้สูง เจ็บคอมาก
- เป็นมาแล้ว 2-3 วันยังไม่ดีขึ้น
- มีโรคเรื้อรังที่ทำให้ภูมิไม่ดีเช่น ผู้ที่ตัดม้าม ได้รับเคมีบำบัดเป็นต้น
ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด
ต่อมทอนซิลมีหน้าที่กรองเชื้อโรคไม่ให้ลุกลามเข้าไปในร่างกายดังที่กล่าวแล้ว โดยทั่วไปจะไม่แนะนำให้ตัดทิ้ง แต่หาก ในกรณีทีมีการอักเสบรุนแรง หรืออันตรายจากทอนซิลอักเสบ ผู้ป่วยควรได้รับการตัดต่อมทอนซิลออก ได้แก่
- ทอนซิลที่มีขนาดใหญ่ ทำให้เกิดทางเดินหายใจอุดตัน
- เคยมีภาวะหนองที่ข้างทอนซิล (Peritonsillar abscess) ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา
- มีกลิ่นปากจากทอนซิลอักเสบเรื้อรัง
- ทอนซิลอักเสบชนิดสเตรปโตคอคคัส และทอนซิลที่โตข้างเดียวที่อาจเป็นมะเร็งได้
- เป็นภาวะต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือเกิดการอักเสบ มีอาการอักเสบบ่อยมากกว่า 6-7 ครั้งใน 1 ปี หลายปีติดต่อกัน ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง เช่นต้องขาดงาน หรือขาดเรียนบ่อย
- เมื่อต่อมทอนซิลโตมากๆ ทำให้เกิดอุดกั้นทางเดินหายใจ และมีอาการนอนกรน และ/ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับตามมา
- ผู้ป่วยที่มีต่อมทอนซิลโต และแพทย์สงสัยว่า อาจเป็นมะเร็งของต่อมทอนซิลโดยตรง หรือมีมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ แล้วหาตำแหน่งมะเร็งต้นเหตุไม่เจอ แต่แพทย์สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งที่มาจากต่อมทอนซิล