หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
การคุมกำเนิดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนสามารถวางแผนครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางประเภท บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงชนิดของวิธีคุมกำเนิด ข้อดี ข้อเสีย และแนวทางในการเลือกวิธีที่เหมาะสมกับคุณ
การคุมกำเนิดโดยทั่วไปมีอยู่สองวิธีใหญ่ๆคือ
การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากกินง่าย ไม่เจ็บตัวและได้ผลดีและสามารถหาได้ง่าย สำหรับยาเม็ดที่กินหลังมีเพศสัมพันธ์นิยมในหมู่วัยรุ่น
วิธีคุมกำเนิดสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้:
วิธีนี้ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ได้แก่:
ยาเม็ดคุมกำเนิด: ต้องรับประทานทุกวันอย่างเคร่งครัด ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptives - COCs): มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับฮอร์โมน
ยาคุมกำเนิดชนิดโปรเจสตินเดี่ยว (Progestin-Only Pills - POPs): เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ เช่น ผู้ที่ให้นมบุตร หรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประการ การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
แผ่นแปะคุมกำเนิด: เปลี่ยนทุกสัปดาห์
ยาฉีดคุมกำเนิด: ฉีดทุก 1-3 เดือน การฉีดยาคุมกำเนิด
ห่วงคุมกำเนิดฮอร์โมน (IUD แบบฮอร์โมน): อยู่ได้นาน 3-5 ปี การใส่ห่วงอนามัย
ยาฝังคุมกำเนิด: อยู่ได้นาน 3-5 ปี การฝังยาคุมกำเนิด
ข้อดี: มีประสิทธิภาพสูง ควบคุมรอบเดือน ลดอาการปวดประจำเดือน ข้อเสีย: อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ น้ำหนักขึ้น หรืออารมณ์แปรปรวน ข้อห้าม: ห้ามใช้ในผู้ที่มีโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคตับ และผู้ที่สูบบุหรี่หนักโดยเฉพาะอายุเกิน 35 ปี รวมถึงผู้ที่มีประวัติมะเร็งเต้านมหรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม
ห่วงคุมกำเนิดแบบทองแดง (IUD ทองแดง): อยู่ได้นาน 5-10 ปี ไม่มีฮอร์โมนการใส่ห่วงอนามัย
ถุงยางอนามัย (ชายและหญิง): ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การใช้ถุงยางอนามัย
หมวกครอบปากมดลูก: ใช้ร่วมกับสารฆ่าอสุจิ หมวกครอบปากมดลูก
ยาฆ่าอสุจิ: ลดความสามารถของอสุจิ ยาฆ่าอสุจิ
ข้อดี: ไม่มีผลกระทบจากฮอร์โมน ปลอดภัยสำหรับคนที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับฮอร์โมน ข้อเสีย: ประสิทธิภาพต่ำกว่าวิธีฮอร์โมน ต้องใช้ให้ถูกต้องทุกครั้ง ข้อห้าม: ห่วงคุมกำเนิดแบบทองแดงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานหรือมีประจำเดือนมามากผิดปกติ
ทำหมันหญิง: การผูกหรือปิดท่อนำไข่
ทำหมันชาย: การตัดหรือปิดท่อนำอสุจิ
ข้อดี: มีประสิทธิภาพสูงมาก เป็นวิธีถาวร ข้อเสีย: ไม่สามารถย้อนกลับได้ง่าย ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ข้อห้าม: ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าต้องการมีบุตรในอนาคต
การเลือกวิธีคุมกำเนิดควรคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้:
อายุและสุขภาพ: ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงฮอร์โมนบางประเภท
แผนการมีบุตรในอนาคต: หากต้องการมีบุตรในอนาคต ควรเลือกวิธีที่สามารถกลับสู่ภาวะเจริญพันธุ์ได้ง่าย
ผลข้างเคียงและผลกระทบระยะยาว: ศึกษาผลข้างเคียงของแต่ละวิธี เพื่อให้เหมาะสมกับร่างกายและไลฟ์สไตล์
นอกจากปัจจัยดังกล่าวยังต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดด้วยตารางแสดงประสิทธิภาพของการคุมกำเนิด
อัตราการตั้งครรภ์ในการคุมกำเนิดแต่ละวิธี |
|
การฝังฮอร์โมน | 0.05% |
การทำหมันชาย | 0.1% |
ยาเม็ดคุมกำเนิด | 0.1-0.5% |
ใส่ห่วง | 0.1-1.5% |
การฉีดยาคุม | 0.3% |
การทำหมันหญิง | 0.5% |
การสวมถุงยางอนามัย | 3% |
การสวมถุงยางอนามัยของผู้หญิง | 5% |
การใส่ diaphragm และย่าฆ่า sperm | 6% |
ยาฆ่า sperm | 6% |
หมวกครอบปากมดลูกและยาฆ่า sperm ในคนที่ไม่เคยท้อง | 9% |
การนับวัน | 9% |
หมวกครอบปากมดลูกและยาฆ่า sperm ในคนที่เคยท้อง | 26% |
ไม่มีวิธีคุมกำเนิดวิธีใดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับสุขภาพ ร่างกาย และความต้องการของแต่ละบุคคล การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้ใช้วิธีที่เหมาะสมที่สุด การคุมกำเนิดที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมทั้งลดความเสี่ยงที่ไม่พึงประสงค์เกี่ยวกับสุขภาพและอนาคตของคุณ
การคุมกำเนิด | การคุมกำเนิดแบบธรรมชาติ | ถุงยางอนามัย | ยาคุมฉุกเฉิน | ยาเม็ดคุมกำเนิด | การใส่ห่วงยางอนามัย | การทำหมัน | การคุมโดยการฝังฮอร์โมน | การฉีดยาคุมกำเนิด | ฟองน้ำคุมกำเนิด