เวียนศีรษะ Dizziness
หลายท่านคงเคยเป็นโรคเวียนศีรษะ ผู้ป่วยมักจะมีชื่อเรียกต่างๆกันดังนี้ มึนศีรษะ งงศีรษะ บ้านหมุน หนักศีรษะ เป็นลม จะเห็นว่าเป็นปัญหาในการสื่อสารกับแพทย์เป็นอันมาก การที่จะวินิจฉัยโรคได้นั้นแพทย์จะต้องได้ประวัติที่ดี บทความนี้จะยกสาเหตุของอาการเวียนศีรษะที่พบบ่อย เพื่อที่ท่านสามารถจะสื่อสารกับแพทย์ได้อย่างถูกต้อง แม้ว่าภาวะนี้จะพบบ่อยแต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ร้ายแรง สาเหตุที่พบได้บ่อยคือ จากหูชั้นใน
และจากระบบความดันโลหิต
การวินิจฉัยของโรคเวียนศีรษะ
เมื่อท่านไปพบแพทย์ด้วยอาการเวียนศีรษะแพทย์จะถามหลายคำถามและท่านต้องตอบให้ตรงคำถามเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
- ลักษณะของอาการเวียนศีรษะ
- อาการเวียนศีรษะเกิดเมื่อมีการเปลี่ยนท่าเช่นการหันหน้า
นั่งไปนอน
หรือจากนอนไปท่านั่งเป็นต้น
- ความรุนแรงของอาการเวียนศีรษะ
- สิ่งแวดล้อมรอบตัวหมุนหรือไม่
- ระยะเวลาที่เกิดอาการ
- ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
- ปัจจัยที่ทำให้หาย
- เป็นแต่ละครั้งนานแค่ไหน
- หลังจากเวียนศีรษะมีอาการอื่นร่วมด้วยหรือไม่
- เป็นบ่อยแค่ไหน
- อาการที่เกิดร่วมกับอาการเวียนศีรษะ
- มีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วยหรือไม่
- มีอาการเครียดด้วยหรือไม่
- มีอาการหน้ามืดเป็นลมหมดสติร่วมด้วยหรือไม่
- มีเสียงดังในหูหรือไม่
- มีอาการอื่นๆร่วมด้วยหรือไม่
ท่านเป็นเวียนศีรษะประเภทไหน
การจะวินิจฉัยและรักษาจะต้องทราบก่อนว่าอาการเวียนศีรษะที่ท่านเป็นอยู่เป็นชนิดไหน
ซึ่งแบ่งเป็นชนิดใหญ่ๆได้ 4
ชนิด
- อาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุนvertigo เป็นอาการที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวหมุน
การเปลี่ยนท่า
เช่นหันหน้าหรือการเปลี่ยนจากนอนเป็นนั่งจะทำให้เกิดอาการหมุน
ผู้ป่วยมักจะนอนหลับตา หากลืมตาบ้านจะหมุนทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน
สาเหตุเกิดจากโรคของหูชั้นใน
โรคที่เป็นสาเหตุได้แก่
- Benign paroxysmal positional vertigo (BPPV)เมื่อท่านหันศีรษะหรือพลิกตัวจะทำให้ท่านเวียนศีรษะบ้านหมุนเกิดจากโรคหูชั้นใน
- Vestibular neuronitis (labyrinthitis) เกิดจาการอักเสบของหูชั้นในจากเชื้อไวรัส
- Meniere's disease เกิดจากน้ำเลี้ยงในหูชั้นในเพิ่มขึ้น
- Acoustic
neuroma
เกิดจากเนื้องอกกดเส้นประสาท
- Medications ยาหลายชนิดทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะเช่น Aspirin, streptomycin, gentamicin, caffeine, alcohol และยาโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
- อาการหน้ามืดเป็นลม
Fainting
มักเกิดขณะนั่งหรือนอนแล้วลุกขึ้นยืนผู้ป่วยจะรู้สึกเป็นลม
หน้ามืด มีอาการใจสั่น เหงื่อออก
หน้าซีด
ต้องนอนหรือนั่งจึงจะดีขึ้นที่สำคัญคือจะไม่หมดสติ
บางรายมีคลื่นไส้ สาเหตุ
- ความดันโลหิตต่ำ
เมื่อท่านลุกขึ้นยืนเลือดจะไหลไปที่เท้าเนื่องจากแรงโน้มถ่วง
ร่างกายจะปรับตัวโดยการบีบตัวของหลอดเลือดดำเพื่อให้เลือดกลับไปที่หัวใจเพิ่มนอกจากนั้นหัวใจจะเต้นเร็วขึ้น การปรับตัวทั้งสองเป็นการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ
ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้อาจจะเกิดจากยาลดความดันโลหิต
การเจ็บป่วยทำให้ได้รับน้ำไม่พอ
ผู้ป่วยขาดน้ำอย่างรุนแรงเช่นท้องร่วงหรืออาเจียน
หัวใจเต้นเร็วไปหรือช้าไป
โรคของระบบประสาทอัตโนมัติเช่นโรคเบาหวาน
ผู้ป่วยที่นอนนานๆ
ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอชั่วคราวทำให้เกิดอาการหน้ามืด
- เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอจากโรคหลอดเลือดสมองตีบ
โรคหัวใจวาย
หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ผู้ป่วยที่มีอาการหนักศีรษะมึนๆ
ผู้ป่วยรู้สึกมึนในศีรษะสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่
- เวียนศีรษะแบบเดินเซทรงตัวไม่ได้
ผู้ป่วยจะมีอาการทรงตัวไม่ได้เวลาเดิน
โรคที่เป็นสาเหตุได้แก่
- โรคหูชั้นใน
- โรคของระบบประสาท
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเสื่อมและกล้ามเนื้ออ่อนแรงทำให้ทรงตัวลำบาก
- จากยา
เช่นยานอนหลับ ยากันชัก
การตรวจวินิจฉัยโรคเวียนศีรษะ
แสดงท่าตรวจให้นั่งแล้วนอนโดยหันศีรษะไปด้านซ้ายและด้านขวา |
หลังจากที่แพทย์ทราบชนิดของเวียนศีรษะแพทย์จะตรวจหรือสั่งการตรวจเพิ่มเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
ชนิดของเวียนศีรษะ |
การตรวจ |
เวียนศีรษะแบบบ้านหมุน |
- ตรวจระบบหู
- ตรวจตาว่ามีการกระตุก
- ตรวจการได้ยิน
- ตรวจจมูก
คอ
|
เวียนศีรษะแบบหน้ามืดเป็นลม |
- ตรวจชีพขจร
วัดความดัน
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
- ตรวจการทำงานของหัวใจ
เช่น ultrasound หัวใจ
- วัดความดันท่านอนและยืน
|
เวียนศีรษะแบบหนักๆศีรษะ |
- ตรวจทางจิตว่ามีความเครียดหรือไม่
- อาจจะให้หายใจแรงๆดูว่ามีอาการหรือไม่
|
เวียนศีรษะแบบเดินเซ |
- ตรวจระบบการทรงตัวโดยการยืนหลับตา
- ตรวจระบบประสาท
|
อาการเวียนศีรษะที่ต้องปรึกษาแพทย์
- เวียนศีรษะร่วมกับอาการหมดสติ
- ตามัว
- หูหนวก
- พูดลำบาก
- อ่อนแรงแขนขา
- ชาแขนขา
- เวียนศีรษะบ้านหมุน
- เวียนศีรษะจนทำงานประจำไม่ได้
- หากสงสัยว่าเกิดจากยาควรปรึกษาแพทย์
- หากมีอาการมึนๆมากกว่า
3 สัปดาห์
- มีอาการอื่นร่วมเช่น
แน่นหน้าอก
หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย
อาการเหล่านี้อาจจะเป็นอาการเตือนของเนื้องอกในสมอง
เส้นเลือดในสมองตีบ
การดูแลตัวเองเบื้องต้น
- นอนพักจนอาการเริ่มดีขึ้น
- อย่าเปลี่ยนท่าอย่างกระทันหัน
- หันศีรษะช้าๆ
- หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลงเช่นเกลือ ยาบางชนิด
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นเช่น ความเครียด ภูมิแพ้
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่างเช่นการขับยานพาหนะ การปีนบันได
- หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือขณะอยู่ในยานพาหนะเพราะอาจจะทำให้เกิดเมารถ เมาเรือ
- หลีกเลี่ยงกลิ่นฉุน
- ยาแก้เวียนศีรษะ เช่น meclizine, dimenhydrinate, promethazine, scopolamine, atropine
or diazepam
หู | การทำงานของหูชั้นกลาง | ยาที่ทำให้บ้านหมุน | เวียนศรีษะบ้านหมุน | โรค meniere | ความดันหูชั้นกลางไม่สมดุล |