ผิวสี Tan
คนทางตะวันตกความนิยมผิวสี Tan เนื่องจากแสดงถึงความสมบูรณ์ของร่างกาย ฐานะ บางคนที่ไม่มีเงินบินมาอาบแดดก็ใช้เครื่องมือเพื่อทำให้ผิวสี tan โดยที่ไม่ทราบว่าผลเสียที่เกิดจากหลอดไฟและแสงแดดไม่ต่างกัน สำหรับในประเทศไทยซึ่งมีแดดทั้งปี ผิวสี tan คงเกิดโดยไม่ตั้งใจและไม่ได้ป้องกันแสงแดด แต่แสงแดดก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากเราได้รับปริมาณแสงในปริมาณไม่มาก เพราะร่างกายเราสามารถสร้างวิตามิน ดี
แสงแดดมีรังสีที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าคือ UVB และ UVA รังสี UVB จะทำให้เกิดผิวไหม้และเกิดผิวสี tan ได้ง่าย ส่วนUVA จะทำลายผิวหนังชั้นลึกและเชื่อว่ามีส่วนทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง melanoma อันตรายของแสงแดดจะเกิดหลังจากที่เราได้รับแสงเป็นปริมาณมาก และเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องป้องกันมิให้เด็กได้รับแสงแดดโดยที่ไม่จำเป็น
ความปลอดภัยของหลอดไฟที่ทำให้เกิดผิวสี tan
เนื่องจากหลอดไฟชนิดนี้จะทำให้เกิดรังสี UVA ซึ่งจะทำให้เกิดผิวไหม้ ผิวสี tan มะเร็งผิวหนังและแก่ก่อนวัยเกิดรอยย่นที่ใบหน้า
ลักษณะผิวที่เกรียมแดด
แบ่งตามองค์การอาหารและยา และสถาบันโรคผิวหนังแห่งสหรัฐอเมริกาได้แบ่งเป็นหกกลุ่มดังนี้
- ประเภทที่ 1 เกรียมแดดได้ง่ายมากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสีผิว มีความไวต่อแสงแดดเป็นอย่างมาก ผิวละเอียด (พบในกลุ่มคนที่ผมสีแดง มีกระที่ผิว เช่น ชาว เซลติก ชาวไอริช- สก็อต) พวกนี้ผิวจะไหม้มากว่าเป็นผิวสี tan
- ประเภทที่ 2เกรียมแดดได้ง่าย ผิวคล้ำลงได้เล็กน้อย ไวต่อแสงแดดมาก (พวกตาสีฟ้า ชนชาติคอเคซอยด์) พวกนี้ผิวจะไหม้ได้ง่าย
- ประเภทที่ 3 เกรียมแดดบางครั้ง ผิวค่อยๆคล้ำช้าๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ ผิวไวต่อแดด ผิวละเอียดปานกลาง หากได้แสงมากผิวก็จะไหม้ได้ ผิวสี tan จะค่อยๆเกิด
- ประเภทที่ 4 เกรียมแดดน้อย ผิวคล้ำลงเป็นสีน้ำตาลเข้มปานกลาง ไวต่อแสงแดดเล็กน้อย (พบในชาวยุโรปแถบเมดิ เนียน) ผิวมักจะไม่ไหม้ ผิวสี tan จะมีสีน้ำตาล
- ประเภทที่ 5 ไม่ค่อยพบว่าเกรียมแดด ผิวคล้ำลงได้มาก ไวแสงน้อย (พบในชาวตะวันออกกลาง พวกฮีสแพนนิกบางกลุ่มและชนผิวดำบางกลุ่ม) ผิวจะออกไปทางดำ
- ประเภทที่ 6 ไม่มีการเกรียมแดดเลย ผิวมีเม็ดสีมาก ไม่ไวต่อแสงแดด (พบในชนผิวดำเป็นส่วนใหญ่) ผิวจะดำมาก สำหรับคนไทย จัดอยู่ในกลุ่มที่ 3 และ 4 ดังนั้นคนไทยยังเสี่ยงต่อการเกิดผิวไหม้จากแดด สรุปแล้วเราไม่ควรจะอาบแดดหรืออาบแสงจากหลอดไฟเนื่องจากจะทำให้เกิดผิวไหม้และเกิดมะเร็งผิวหนังได้เหมือนแสงแดด