ตีนกา wrinkle
ปัจจัยที่ทำให้เกิดรอยย่น | ปัจจัยที่ทำให้เกิดรอยย่น | การรักษารอยตีนกา | การป้องกันตีนกา
เมื่ออายุมากขึ้นนอกจากประสบการณ์ ความรู้
ความรับผิดชอบและโรคจะมากขึ้นแล้ว ก็จะมีตีนกาโผล่ขึ้นมาซึ่งสร้างความกังวลให้กับคุณผู้หญิง
มีคำกล่าวว่าก่อนอายุ 40 ปีหน้าตาจะเหมือนแม่ แต่หลังอายุ 40
ปีหน้าตาจะบ่งบอกวิถีทางการดำรงชีวิต
หากการดำเนินชีวิตดี สุขภาพ หน้าตาก็จะดี
หากดำเนินชีวิตไม่ดีก็จะมีโรคหรือปัญหาตามมา
ผิวหนังเราก็เหมือนอวัยวะอื่นเมื่อมีอายุมากขึ้นก็จะเกิดการเสื่อม โดยเฉพาะผิวหนังส่วนที่ต้องเจอแสงแดดมาก ผิวหนังของเราจะมี collagen elastin รวมทั้งไขมัน เมื่ออายุมากขึ้นไขมันและ collagen ลดลง หากร่างกายถูกแสงแดดมาก ก็จะมีการทำลายทั้งcollagen elastin ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น กล้ามเนื้อใบหน้าก็จะอ่อนแรง น้ำในเซลล์ก็จะลดลงทำให้เกิดรอยย่นบนใบหน้าที่เรียกว่าตีนกาหรือ wrinkle ซึ่งมีสองชนิดคือ ชนิดที่เป็นรอยย่นเล็กน้อย และชนิดที่เป็นรอยลึก ชนิดที่เป็นรอยตื้นจะตอบสนองดีต่อการรักษา ตีนกาจะพบมากบริเวณที่ถูกแสงมากเช่น หน้า คอ หลังมือ แขน
- อายุ เมื่ออายุมากเซลล์จะแบ่งตัวน้อยลง จำนวนเซลล์ในชั้นหนังแท้ลดลง เซลล์ไขมันและเซลล์ที่สร้าง elastn collagen ลดลง
- ผู้ที่สูบบุหรี่จะเป็นตีนกาได้ง่าย
- ผู้ที่มีผิวขาวตาสีฟ้า
- กรรมพันธุ์
- ทรงผมผู้ที่มีทรงผมเปิดรับแดดจะเกิดรอยย่นที่หน้าได้ง่าย
- การแต่งตัว หากใส่เสื้อผ้ารับแสงก็เป็นได้ง่าย
- ผู้ที่ต้องทำงานกลางแสงแดด
- การทำงานของกล้ามเนื้อมัดใดมัดหนึ่งมากเกินไป เช่นการยิ้ม
- ตามแรงโน้มถ่วงของโลก
- สิว
การทาครีมกันแสงหรือการหลีกเลี่ยงแสงแดดและการงดการสูบบุหรี่
ตำแหน่งที่เกิดรอยตีนกาหรือรอยย่น
รอยตีนกา Crow's feet ที่หางตาหรือรอบดวงตา เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อรอบดวงตา เช่นการยิ้มหรือหรี่ตาบ่อย
รอยย่นบริเวณหน้าผาก เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อหน้าผาก เลิกคิวบ่อยๆ
รอยย่นหรือตีนกาหัวคิ้ว เกิดจากการที่เพ่งมองบ่อย ความเครียด
เกิดจากความหย่อนของผิว เนื่องมาจากคอลลาเจนและอีลาสตินเกิดเสื่อม เนื่องจากอายุ พฤติกรรมอื่นๆเช่น การสูบบุหรี่ แสงแดด โดยส่วนใหญ่แล้วรอยย่นที่แก้ม จะมีลักษณะเป็นร่องลึก ตั้งแต่ปีกจมูกมายันมุมปาก
การรักษารอยย่นหรือตีนกาจะต้องป้องกันมิให้ผิวหนังเสื่อมจากแสงแดด และปัจจัยดังกล่าวข้างต้น นอกจากนั้นจะต้องมีการดูแลอื่นๆดังนี้
การดูแลสุขภาพทั่วๆไป
- เรื่องที่สำคัญคืออาหาร แนะนำให้รับประทานผักสด และผลไม้ซึางจะให้ทั้งความชุ่มชื้นและสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย
- การออกกำลังกายจะช่วยเลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ต่อมเหงื่อทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
- หลีกเลี่ยงมลภาวะต่างๆ เช่นควันรถ ฝุ่นละออง สารเคมี ภาวะแวดล้อมที่เกิดภาวะภูมิแพ้
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางค์ที่มีความเข้มข้นหรือระคายเคืองต่อผิวหน้า
- งดหรือหลีกเลี่ยงควันบุหรี่
- จัดการกับความเครียอด
- ดูแลผิวตามวัย
- ป้องกันผิวหนังจากการเสื่อม
- การใช้สารธรรมชาติในการดูแลผิวหนัง
การเลือกใช้สารให้ความชุมชื้นกับผิวหนัง
เมื่ออายุมากขึ้น หรือเซลล์ผิวหนังได้รับสารที่ระคายเคืองทำให้เกิดความเสื่อมของผิวหนังจะทำให้เซลล์ขาดความชุมชื้น การเลือกครีมบำรุงผิวต้องเลือกให้ถูกกับสภาพของผิวหนังซึ่งจะทำให้ผิวหนังดูสดชื่นเต่งตึง
- ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าหรือสบู่อ่อนๆวันละ 2 ครั้ง
- เมื่อต้องออกนอกบ้านและจะต้องสัมผัสแสงแดดให้ทางครีมกันแสงทุกครั้ง
การขัดผิวหน้าหรือการลอกผิว
เซลล์ชั้นบนสุดของผิวหนังจะเป็นเซลล์ที่ตายแล้วการขัดเอาเซลล์ชั้นบนออก จะทำให้ผิวเต่งตึงลบรอยย่นรอยด่างดำบนใบหน้า การขัดผิวทำได้หลายวิธี
- Topical retinoids
- alfa hydroxy acids
- การทำ scrub ผิวหน้าซึ่งเป็นการขัดเอาเซลล์ที่อยู่นอกสุดซึ่งเป็นเซลล์ที่ตายแล้วจะทำให้ลบรอยด่างดำหรือรอยย่นตื้นๆได้
- การใช้เครื่องสำอางที่ขายมาทำการสครับ หรือขัดเอาเซลล์ผิวบนสุดออกไป
การใช้ยาทา
- Vitamin A Acid เป็นยาทาที่นิยมใช้มากที่สุดและได้ผลดีที่สุดโดยเฉพาะผิวหนังที่เริ่มแสดงถึงความชรา เช่น ผิวตกกระ ผิวย่น เริ่มแรกจะมีการระคายผิวหลังจากนั้นจะเริ่มดีขึ้น
- alfa-hydroxy acids หรือที่เรียกว่า AHA เป็นกรดอ่อนที่ได้จากผลไม้ยาทาชนิดนี้ค่อยข้างจะปลอดภัย
- Antioxidants เป็นครีมที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระเช่นวิตามิน เอ อี ซี ยาทานี้มีผลป้องกันมากกว่าการรักษา
- Ordinary moisturizers เป็นครีมที่ให้ความชุ่มชื้นแกผิวหนังทำให้รอยย่นไม่เด่นชัด
- การฉีดสารเข้าใต้ผิวหนัง เช่น botox collagen fat
การใช้การเสริมสวย
เป็นการขัดเอาเซลล์ที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนังออกจะทำลบรอยย่นหรือด่างดำออกซึ่งมีวิธีการหลายวิธี
- การลอกหน้าหรือการทำ baby face โดยใช้สาร Gycolicacid peelsใช้ลอกหน้ากรณีที่เป็นรอยย่นชนิดตื้นๆ
- การลอกหน้ารอยย่นชนิดลึกโดยใช้ salicylic acid และtrichloroacetic acid ใช้ได้ดีกับรอยย่นชนิดตื้น หากใช้กับรอยย่นยิ่งลึกก็ยิ่งเกิดโรคแทรกซ้อนมากขึ้น เมื่อลอกเซลล์เก่าไปก็เกิดเซลล์ใหม่ขึ้น เซลล์ที่เกิดใหม่จะไวต่อแสงมากดังนั้นต้องทาครีมกันแสง
- การขัดหน้า Dermabration โดยใช้เครื่องมือที่มีผิวหยาบเหมือนกระดาษทรายขัดหน้า จะต้องวางยาสลบให้กับผู้ป่วย ผลข้างเขียงอาจจะทำให้เกิดแผลเป็น
- การใช้ Laser ในการขัดผิวได้ผลดีเหมือนการขัดด้วยกระดาษทราย ไม่ต้องวางยาสลบเพียงฉีดหรือทายาชาร่วมกับยานอนหลับ
- การใช้แสง
- การใช้คลื่นเสียงความถี่พิเศษ
การฉีดโบท๊อก Botox
การฉีดโบท๊อกเป็นการฉีดสาร Botulinum toxin ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวเป็นอัมพาต การฉีดนี้จะได้ผลกับรอยย่นที่หน้าผาก ตีนกาที่หางตา ทำให้รอยย่นหายไป
การฉีดสารเติมแต่ง Filler
เป็นการฉีดสารบางอย่างไปในรอยย่นหรือบริเวณที่เราต้องการให้นูนขึ้น การฉีดจะอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้ การฉีดสารเติมแต่ง
การผ่าตัดเพื่อเสริมสวย
การผ่าตัดเสริมสวยเป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ไขเช่นการทำจมูก การดึงหน้า การร้อยไหม การผ่าตัดทำตา เพื่อให้ดูดี
- หลีกเลี่ยงแสงแดด
- การเลือกครีมกันแดด ห้ามใช้ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ในเด็กให้ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF15 ผู้ใหญ่ที่ผิวขาวให้ใช้ SPF 20-30 บางท่านแนะนำให้ใช้ SPF 30 สำหรับใบหน้าและให้ใช้ครีม SPF 15 สำหรับตามตัวและควรทาก่อนออกแดด 15-30 นาทีและให้ทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
- การดูแลผิวหนัง ให้ใช้สบู่อ่อนล้างหน้า ไม่ควรใช้สบู่ด่างและผสมน้ำหอม หลังจากล้างหน้าใช้ผ้านุ่มๆซับผิวหน้าและทาครีมให้ความชุ่มชื้นผิวหน้าใช้ชนิดที่ละลายน้ำ
- การดำเนินชีวิตตามภาวะสุขภาพดี เช่นการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย