การมีประจำเดือน อาการผิดปกติที่พบบ่อย
สิ่งที่คุณผู้หญิงต้องประสบทุกเดือนคือการมีประจำเดือนนั้นเอง แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีความรู้ เรามาทบทวนกันว่าประจำเดือนมาได้อย่างไร
อวัยวะสืบพันธ์
อวัยวะสืบพันธ์ของคุณผู้หญิงประกอบไปด้วยมดลูก [uterus] มดลูกจะอยู่ระหว่างกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ใหญ่ ภายในมดลูกจะมีเยื่อบุมดลูกซึ่งจะหนาตัวเพื่อให้ทารกฝังตัว แต่ถ้าไม่มีการปฏิสนธิเยื่อบุจะสลายออกมาซึ่งมีส่วนประกอบคือเลือด และเมือกเป็นประจำเดือนออกทางส่วนปลายของมดลูกเรียกปากมดลูก [cervix ] ซึ่งจะเปิดสู่ช่องคลอด [vagina] มดลูกจะมีท่อที่เรียกว่าท่อรังไข่[fallopian tube] โดยมีรังไข่ [ovary] อยู่ปลายท่อรังไข่การมีประจำเดือนจะแบ่งเป็น 3 ระยะได้แก่
- Follicular (Proliferative) Phase
เมื่อประจำเดือนมาเราเรียกวันแรกหรือวันที่หนึ่งของรอบเดือน
ปกติประจำเดือนจะมาเฉลี่ย 6
วัน
ระยะนี้จะเริ่มตั้งแต่มีประจำเดือนจนกระทั้งวันที่
14 ของรอบเดือน
ระยะที่ประจำเดือนกำลังมาเป็นช่วงที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตเจน
และโปรเจสเตอโรน ต่ำสุด
จะมีฮอร์โมน Follicular stimulating hormone [FSH]
สูงขึ้นทำให้ไข่ในรังไข่สุก
ขณะเดียวกันเยื่อบุก็จะหนาตัวเพื่อเตรียมการฝังตัว
- Ovulation and Secretory (Luteal) Phase
ระยะเริ่มตั้งแต่วันที่ 14
เป็นต้นไปเมื่อระดับ FSH
สูงขึ้นทำให้มีการสร้างฮอร์โมน
luteinizing hormone (LH) ฮอร์โมน LH
จะทำให้เกิดการตกไข่ Ovulation
เนื่อเยื่อรอบๆไข่ที่ตกเรียก
corpus luteum จะสร้างฮอร์โมน
โปรเจสเตอโรน
ระยะนี้เยื่อบุจะหนาตัวขึ้นอีกเลือดไปเลี้ยงมดลูกมากขึ้น
เนื่องจากระยะนี้มีระดับฮอร์โมนของโปรเจสเตอโรนสูงทำให้เกิดอาการของ
premenstrual period
ถ้าไข่ไม่มีการปฏิสนธิเลือดและเมือกในมดลูกก็ถูกขับออกมาเป็นประจำเดือน
ผู้หญิงจะมีประจำเดือนเมื่อใด
ปกติผู้หญิงจะมีประจำเดือนอายุ
12-13
ปีแต่ก็มีรายงานว่าเด็กมีประจำเดือนเร็วขึ้นบางรายงานอายุ
8
ปีก็มีประจำเดือนและมีขนที่อวัยวะเพศ
ปัจจัยที่ทำให้ประจำเดือนมาเร็วคือโรคอ้วน
หนึ่งรอบเดือนมีกี่วัน
ประจำเดือนในช่วงสองปีแรกจะไม่สม่ำเสมอหลังจากนั้นประจำเดือนก็จะสม่ำเสมอ
หนึ่งรอบเดือนจะมีประมาณ 20-40
วัน
โดยเฉลี่ยของคนปกติรอบเดือนจะมี
28 วัน
จำนวนวันขึ้นกับอายุของผู้ที่มีประจำเดือนกล่าวคือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า
21 ปีจะมีรอบเดือนประมาณ 33 วัน
หลังจากอายุ 21 ปีจะมี 28 วัน
อายุ 40 ปีจะมีประมาณ 26 วัน
ประจำเดือนจะมากี่วัน
คนปกติจะมีประจำเดือน 6
วันจนกระทั่งเข้าสู่วัยทอง
แต่ก็มีผู้หญิงร้อยละ5ที่ประจำเดือนมาน้อยกว่า
4 วัน ร้อยละ4
มีประจำเดือนมากกว่า 8 วัน
ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน
- ไม่มีประจำเดือน Amenorrhea
- ประจำเดือนมามาก
Menorrhagia
ร้อยละ 9-14 ของผู้หญิงจะมีประจำเดือนมามากบางคนอาจจะมามากกว่า 7วันหรือเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 8 ชั่วโมงและมีลิ่มเลือดที่ผ้าอนามัย หากมีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์
สาเหตุ
อย่างน้อยคุณผู้หญิงคงเคยมีประจำเดือนมากอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิต การมีประจำเดือนมากอาจจะไม่มีโรคหรืออาจจะมีโรคก็ได้ ผู้ที่มีเนื้องอกในมดลูก ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิด ผู้ที่ใกล้วัยทอง อาจจะมีประจำเดือนมามาก สำหรับผู้ประจำเดือนขาดไป2-3เดือนแล้วมีเลือดออกก็อย่าลืมการแท้งด้วย โรคทางอายุรกรรมบางโรคก็สามารถทำให้เลือดออกมาก เช่นการติดเชื้ออุ้งเชิงกราน โรคไทรอยด์ โรคเบาหวาน เกล็ดเลือดต่ำ ผู้ที่กินยาป้องกันเลือดแข็ง
- ปวดประจำเดือน Dysmenorrhea
มดลูกของคุณผู้หญิงเป็นกล้ามเนื้อการทำงานมีทั้งบีบตัวและคลายตัว มดลูกจะบีบตัวเพื่อไล่เลือดที่อยู่ในมดลูกส่วนมากไม่มีอาการ บางคนอาจจะเกิดอาการเหมือนคนปวดท้องถ่าย แต่บางคนปวดท้องประจำเดือนมาก และปวดถี่สาเหตุอาจจะเป็นเพราะมดลูกบีบตัวแรง เกิดจากกระตุ้นของ prostaglandin หรือมีโรคอื่น เช่น endometriosis อาการปวดอาจจะปวดก่อนมีประจำเดือนหลายวันเมื่อประจำเดือนมาอาการปวดจะดีขึ้น ส่วนใหญ่อาการปวดไม่มาก พบร้อยละ10-15 ที่ปวดมากจนต้องหยุดงานผู้ที่มีอาการปวดมากอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
สาเหตุ
- สาเหตุจากตัวมดลูกเองเรียก primary dysmenorrhea มักจะร่วมกับประจำเดือนมามากเกิดจาก prostaglandinmeทำให้มดลูกบีบตัวมาก การรักษาให้พัก กระเปาะน้ำร้อนวางที่ท้องน้อยหรือหลัง การออกกำลังกาย และการใช้ยาแก้ปวด aspirin,ibuprofen, naproxen นอกจากนั้นอาจจะใช้ยาคุมกำเนิดรักษาอาการปวดประจำเดือน
- ส่วนสาเหตุปวดประจำเดือนที่มาจากสาเหตุอื่นเรียก secondary dysmenorrhea เช่นโรค
- premenstrual syndrome (PMS) กลุมอาการก่อนมีประจำเดือน
- intrauterine devices (IUDs) used for birth controlการใส่ห่วง
- discontinuation of birth control pills การหยุดยาคุมกำเนิด
- stress and poor healthความเครียด
- pelvic inflammatory diseaseการติดเชื้ออุ้งเชิงกราน
- endometriosis คือมีเนื้อเยื่อมดลูกไปอยู่ที่อื่น
และยังมีสาเหตุอื่นอีกมากที่ไม่ได้กล่าวในที่นี้
- กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน Premenstrual Syndrome
ปัญหาของการมีประจำเดือนผิดปกติต่อสุขภาพ
- อาการปวดท้อง ผู้ป่วยบางคนมีอาการปวดจนกระทั่งทำงานไม่ได้
แต่ส่วนใหญ่มักจะซื้อยารับประทานเอง
ยาที่นิยมใช้ได้แก aspirin ,ibuprofen
บางคนอาการไม่หายจนต้องไปพึ่งกลุ่มยาแก้ปวดที่เสพติด
ถ้าหากมีอาการปวดบ่อยหรือมากควรไปพบแพทย์ตรวจภายใน
บางรายอาจจะทำ ultrasound
หรือส่องกล้องเข้าไปดูในช่องเชิงกรานเรียก
laparoscope
- เป็นหมัน
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดประจำเดือนหรือประจำเดือนมาผิดปกติอาจจะมีโรคที่ทำให้เกิดเป็นหมัน
เช่นendometriosis เนื้องอก
- โลหิตจาง ผุ้ที่ประจำเดือนมามากและต่อเนื่องอาจจะทำให้เกิดโรคโลหิตจางซึ่งจะมีอาการเพลีย
เหนื่อยง่าย มีเสียงในหู
ใจสั่น
- กระดูกพรุน
ผู้ป่วยที่ไม่มีประจำเดือนมักจะมี
estrogen
ต่ำซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคกระดูกพรุนในอนาคต
หากวินิจฉัยได้ควรจะได้รับฮอร์โมน
- Toxic Shock Syndrome
ผู้ป่วยที่ประจำเดือนมามากอาจจะใส่ผ้าอนามัยชนิดสอดทีเดียวสองชิ้นทำให้บางชิ้นค้างไว้ในช่องคลอด
ซึ่งหากทิ้งไว้เกิน 4
ชั่วโมงสารพิษที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียจะทำให้เกิดอาการไข้สูง
ท้องร่วง เจ็บคอ อ่อนเพลีย
ผิวหนังลอก
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการประจำเดือนผิดปกติ
- อาหาร
แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพซึ่งประกอบด้วยธัญพืช
ผัก ผลไม้
หลีกเลี่ยงอาหารมันและอาหารสำเร็จรูป
การปรับอาหารควรกระทำก่อนมีประจำเดือน
14
วันอาจจะทำให้อาการก่อนมีประจำเดือนดีขึ้น
การหลีกเลี่ยงเนื้อแดง นม
และอาหารเค็มจะช่วยลดอาการ
premenstrual syndrome
และอาการปวดประจำเดือน
การเพิ่มเนื้อปลาจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนและมีบางรายงานการได้รับ
omega 3
จะลดอาการประจำเดือนมามาก
มีรายงานว่าวิตามิน บี1ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน
- การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะทำให้สุขภาพดีขึ้น
การออกกำลังมากเกินไปอาจจะทำให้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
แต่ยังไม่มีรายงานว่าการออกกำลังกายจะลดอาการปวดท้อง
- สมุนไพรยังไม่มีรายงานว่ามีสมุนไพรชนิดใดจะช่วยลดอาการผิดปกติของประจำเดือน มีรายงานไม่มากที่พูดถึงผลประโยชน์ของ primrose oil ซึ่งช่วยลดอาการปวดประจำเดือน น้ำขิงจะช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน
- การฝังเข็มและการใช้โยคะสามารถลดอาการปวดประจำเดือนได้
- การดูแลสุขอนามัย ไม่ควรใช้ผ้าอนามัยแบบสอดไม่ควรใช้น้ำหอมบริเวณดังกล่าว เนื่องจากจะระคายต่ออวัยวะเพศไม่ควรสวนล้างช่องคลอดเนื่องจากจะทำลายสภาพแวดล้อมของช่องคลอด
การใช้ยาเพื่อรักษา
- ยาแก้ปวด
ยาที่นิยมใช้คือกลุ่ม NSAID
ซึ่งมียาที่ใช้ลดอาการปวดประจำเดือนอย่างได้ผลคือ
aspirin ibuprofen mefenamic acid
ยากลุ่มนี้ลดการสร้าง prostaglandins
เพือ่ลดอาการปวดท้องและประจำเดือนมามากการให้ยากลุ่มนี้ควรให้ก่อนมีอาการ
7-10 วัน ยาตัวที่สองคือ paracetamol
- การใช้ฮอร์โมนเพื่อการรักษาความผิดปกติของประจำเดือน
- ยาคุมกำเนิด
ซึ่งมีส่วนประกอบคือ estrogen และ
progesterone
ยาคุมกำเนิดสามารถนำมารักษาความผิดปกติเกี่ยวกับประจำเดือนคือ
ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
ประจำเดือนมามากเกินไป
ปวดประจำเดือน
หรือประจำเดือนไม่มา
ผลข้างเคียงและข้อห้ามใช้อ่านในเรื่องยาคุมกำเนิด
- Progesterone
นอกจากนำมาใช้ในคุมกำเนิดแล้วยังนำมาใช้รักษาผู้ที่ประจำเดือนมามาก
หรือประจำเดือนมากระปริดกะปอย
- gonadotropin-releasing hormone (GnRH)
เป็นฮอร์โมนที่ยับยั้งการสร้าง
estrogen ใช้ในการรักษา endometriosis, fibroids,
และประจำเดือนมามาก( menorrhagia)ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ยานี้ติดต่อกันเกิน
6
เดือนอาจจะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนโดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเช่น
สูบบุหรี่ ดื่มสุรา กินยา steroid
- Danazolเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์เหมือนฮอร์โมนเพศชายใช้ในการรักษา
อาการปวดประจำเดือน (dysmenorrhea),
ประจำเดือนมามาก (menorrhagia), fibroids,
และโรค endometriosis