หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน
สมัยก่อนผู้ที่ได้รับเชื้อHIV จะมีการดำเนินของโรคอย่างช้าทำลานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และจะกลายเป็นโรคเอดส์ทุกรายภายใน10ปี
ปัจจุบันมีการพัฒนาแนวการรักษาโรคติดเชื้อHIV ทำให้เกิดการเปลี่ยนแนวความคิดที่ว่า รักษาไม่ได้เป็นโรคเรื้อรังที่สามารถควบคุมอาการ
ประโยชน์ของการตรวจเลือดเพื่อทดสอบโรคติดเชื้อ HIV
จุดประสงค์ในการตรวจวินิจฉัยคือ
ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่ไปพบแพทย์มีกี่รูปแบบ
ประโยชน์ที่ผู้ที่เชื้อ HIVไปพบแพทย์มีดังนี้
ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ต้องเตรียมข้อมูลก่อนไปพบแพทย์อะไรบ้าง
ในการวางแผนการรักษาแพทย์ต้องทราบรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยเพื่อที่จะทำการรักษาได้เหมาะสม
การประเมินพยากรณ์หมายถึงการคาดการณ์ว่าโรคจะดำเนินเปลี่ยนแปลงเร็งแค่ไหน เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าผู้ที่ได้รับเชื้อ HIV หากไม่ได้รับการรักษาจะดำเนินเป็นโรคเรื้อรังโดยทั่วไปใช้เวลา 10 ปีตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งกลายเป็นโรคเอดส์ ตั้งแต่ได้รับเชื้อ HIV เชื้อก็จะเจริญแบ่งตัวอยู่ตลอดเวลา มีการกลายพันธ์และในที่สุดก็ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การที่เราต้องรู้ว่าขณะนี้ผู้ได้รับเชื้อเป็นโรคขั้นไหน และการคาดการณ์ว่าโรคจะดำเนินเร็วแค่ไหนก็เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจให้การรักษา และเพื่อที่จะได้ประเมินพยากรณ์ของโรค เครื่องบ่งชี้ว่าโรคจะดำเนินเร็วได้แก่
การเจาะ CD4-T lymphocyte
ปกติเราจะมีเซลล์ CD4-T lymphocyte ประมาณ 500-13000 cells/mm3 ได้มีการใช้ปริมาณเซลล์CD4-T lymphocyte เป็นตัวบอกระยะของโรคแต่ต้องระวังเพราะปริมาณเซลล์ผันแปรตามเวลาที่เจาะ และการติดเชื้อรวมทั้งสุขภาพถ้าหากค่าสูงหรือต่ำไปต้องเจาะเลือดเพื่อยืนยันอีกครั้ง ปริมาณเซลล์ CD4-T lymphocyte ที่เจาะเป็นระยะจะมีประโยชน์มากกว่าการเจาะครั้งเดียวเพราะสามารถบอกการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเซลล์ได้ นอกจากจะใช้ปริมาณเซลล์แล้วยังใช้ %ของCD4-T lymphocyte แต่ส่วนใหญ่นิยมใช้ปริมาณเซลล์
ปัจจุบันเราใช้ปริมาณเซลล์ CD4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค
การเจาะตรวจ CD4-T lymphocyte ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของผู้ป่วย ผู้ที่เจาะได้เซลล์ปริมาณน้อยก็ต้องเจาะถี่ ส่วนผุ้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือน
การตรวจหาปริมาณเชื้อ Viral Load (HIV RNA) Assays
เป็นการตรวจที่มีประโยชน์มากที่สุดในการบอกระยะของโรคและการดำเนินของโรค สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV อาจจะมีปริมาณเชื้อ HIV RNA น้อยมากจนตรวจไม่พบหรืออาจจะมีมากเป็นล้าน โดยทั่วไปหากมีปริมาณเชื้อ 10000-50000 copies/ml จะบ่งบอกว่าโรคกำลังดำเนินโรคอย่างรวดเร็ว ถ้าหากกำลังรักษาด้วยยาแสดงว่ายานั้นรักษาไม่ได้ผล ปริมาณเชื้อน้อยกว่า 5000 copies/ml แสดงว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่ำและโรคจะยังไม่ลุกลามใน 5 ปี
HIV RNA สามารถตรวจพบก่อน แอนติเจนและก่อนภูมิคุ้มกัน(HIV antigen and HIV antibody)มักจะตรวจพบภายในสัปดาห์ การที่ตรวจไม่พบ HIV RNA ไม่ได้หมายความว่าหายเนื่องจากอาจจะมีปริมาณน้อยมาก และเชื้อ HIV ส่วนหนึ่งอยู่ในต่อมน้ำเหลือง ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ HIV อาจจะตรวจพบว่าค่า HIV RNA เพิ่มขึ้นจากการติดเชื้อหวัด การเจาะเลือดตรวจควรจะเจาะเวลาเดียวกัน ใช้วิธีการตรวจเหมือนกัน
ข้อบ่งชี้ในการเจาะเลือดหาปริมาณเชื้อ Load (HIV RNA) Assays
ข้อบ่งชี้ในการเจาะเลือด | การประเมิน | จุดประสงค์ |
ผู้ป่วยที่สงสัยจะมีการติดเชื้อ HIV | ผู้ที่ตรวจไม่พบภูมิแต่สงสัยว่าจะติดเชื้อ HIV | เพื่อการวินิจฉัย |
ผู้ที่ติดเชื้อ HIV | เป็นค่าปริมาณไวรัส HIV ก่อนรักษา | เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจรักษา |
สำหรับผู้ที่ไม่ได้รักษาให้เจาะทุก 3-4 เดือน | เพื่อดูปริมาณการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเชื้อ | เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจรักษา |
2-8 สัปดาห์หลังการรักษาด้วยยาต้านไวรัส | เพื่อประเมินประสิทธิภาพของยา | เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ในการเปลี่ยนยารักษา |
3-4 เดือนหลังการรักษา | เพื่อประเมินผลดีสุดของยา | เพื่อเป็นข้อมูลในการรักษาต่อ |
ทุก 3-4 เดือนขณะรักษา | ดูประสิทธิภาพของยา | เพื่อเป็นข้อมูลในการรักษาต่อ |
เจาะเมื่อระดับ CD4 ลดลง | เพื่อดูปริมาณเชื้อ | เพื่อเป็นข้อมูลในการรักษาต่อ เปลี่ยนยา |
การดำเนินของโรค
การที่แพทย์จะบอกว่าผู้ที่ติดเชื้อ HIV จะมีการเปลี่ยนแปลงของโรคเร็วแค่ไหนแพทย์จะอาศัยประวัติ การตรวจร่างกายและผลเลือดตารางแสดงปริมาณเซลล์ CD4 และปริมาณเชื้อไวรัส viral load สัมพันธ์กับการดำเนินของโรค ระยะเวลาที่จะกลายเป็นโรคเอดส์
จำนวนเซลล์CD4+ T cells <350 Plasma viral load (copies/ml) | จำนวนผู้ป่วยที่จะกลายเป็น AIDS (%) (AIDS-defining complication) | ||||
bDNA | RT-PCR | n | 3 years | 6 years | 9 years |
<500 |
<1500 |
- § | - | - | - |
501-3000 | 1501-7000 | 30 | 0 | 18.8 | 30.6 |
3001-10,000 | 7,001-20,000 | 51 | 8.0 | 42.2 | 65.6 |
10,001-30,000 | 20,001-55,000 | 73 | 40.1 | 72.9 | 86.2 |
>30,000 | >55,000 | 174 | 72.9 | 92.7 | 95.6 |
จำนวนเซลล์CD4+ T cells 351-500 Plasma viral load (copies/ml) | จำนวนผู้ป่วยที่จะกลายเป็น AIDS (%) (AIDS-defining complication) | ||||
bDNA | RT-PCR | n | 3 years | 6 years | 9 years |
<500 | <1500 | - | - | - | - |
501-3000 | 1501-7000 | 47 | 4.4 | 22.1 | 46.9 |
3001-10,000 | 7001-20,000 | 105 | 5.9 | 39.8 | 60.7 |
10,001-30,000 | 20,001-55,000 | 121 | 15.1 | 57.2 | 78.6 |
>30,000 | >55,000 | 121 | 47.9 | 77.7 | 94.4 |
จำนวนเซลล์CD4+ T cells >500 Plasma viral load (copies/ml) | จำนวนผู้ป่วยที่จะกลายเป็น AIDS (%) (AIDS-defining complication) | ||||
bDNA | RT-PCR | n | 3 years | 6 years | 9 years |
<500 | <1500 | 110 | 1.0 | 5.0 | 10.7 |
501-3000 | 1501-7000 | 180 | 2.3 | 14.9 | 33.2 |
3001-10,000 | 7001-20,000 | 237 | 7.2 | 25.9 | 50.3 |
10,001-30,000 | 20,001-55,000 | 202 | 14.6 | 47.7 | 70.6 |
>30,000 | >55,000 | 141 | 32.6 | 66.8 | 76.3 |
ระยะของโรค
Stages of HIV Disease
มีการจัดระยะของโรคเพื่อวางแผนการรักษา
แต่การจัดมีได้หลายรูปแบบ
แนวทางที่แสดงเป็นแบบหนึ่ง