โรคคางทูม
โรคคางทูมเป็นโรคติดต่อเกิดจากการติดเชื้อไวรัสมีลักษณะคือ ไข้ ต่อมน้ำลายอักเสบ และบางครั้งอาจจะมีตับอ่อนอักเสบ สำหรับผู้ชายอาจจะมีอัณฑะอักเสบ ผู้หญิงอาจจะมีรังไข่อักเสบ นอกจากนั้นอาจจะมีเยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ
เชื้อที่เป็นสาเหตุโรคคางทูม
เป็นเชื้อ RNA ไวรัสในกลุ่ม paramyxovirus
การติดต่อของโรคคางทูม
โรคคางทูมติดต่อกันโดยทาง น้ำลาย เสมหะ มักจะพบในเด็กอายุ 5-10 ปี โรคนี้อาจจะไม่แสดงอาการ เชื้อไวรัสออกมาทางน้ำลายของผู้ป่วยประมาณ 6 วันก่อนมีอาการคางทูม และออกอยู่ได้นาน 2 สัปดาห์หลังจากนั้น สำหรับผู้ป่วยที่มีอัณฑะอักเสบ หรือสมองอักเสบ ก็สามารถพบเชื้อนี้ในน้ำลาย เมื่อเป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต
อาการของโรคคางทูม
ผู้ป่วยจะมีอาการหลังจากได้รับเชื้อ 7-23 วัน
- ต่อมน้ำลายอักเสบมักจะมีไข้นำมาก่อน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร วันต่อมาจึงเกิดการอักเสบของต่อมน้ำลาย ที่บ่อยที่สุดคือบริเวณใต้หูที่เรียกว่าต่อม parotid
ซึ่งจะบวมโต ผิวหนังเหนือต่อมน้ำลายจะบวม แดง และร้อน เมื่อกดดูจะมีลักษณะเหมือนเยลลี่ อาการบวมจะเริ่มจากหน้าใบหูบวมมายังหลังใบหู และลงมาคลุมขากรรไก บางรายบวมมากจนบวมถึงส่วนหน้าอก ส่วนใหญ่มักจะเป็นทั้งสองข้าง ข้างที่สองมักจะเป็นหลังจากข้างแรก 4-5 วัน อาการบวมมักจะไม่เกิน 7 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเวลาพูด กลืน หรือเคี้ยว โดยเฉพาะอาหารรสเปรี้ยวจะทำให้ปวดมาก
- อัณฑะอักเสบ Orchitis มักจะเกิดหลังจากต่อมน้ำลายอักเสบ 4-10 วัน หรือบางรายอาจจะไม่มีอาการอักเสบของต่อมน้ำลาย และมักจะเป็นข้างเดียว ผู้ที่เป็นอัณฑะอักเสบจะมีอาการปวดอัณฑะมาก บวมและกดเจ็บ
- ตับอ่อนอักเสบ pancreatitis เป็นภาวะที่รุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องส่วนบน อาเจียน กดเจ็บบริเวณลิ่มปี่
- โรคคางทูมและสมอง โรคคางทูมจะทำให้เกิดสมองอักเสบ
encephalitis ผู้ป่วยจะมีไข้ ปวดศีรษะ และซึมลง บางรายเกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ meningitis ผู้ป่วยจะมีไข้ ปวดศีรษะ คอแข็ง หลังแข็ง มักเป็นหลังจากต่อมน้ำลายอักเสบไปแล้ว 3-7วัน
การรักษาโรคคางทูม
- ต่อมน้ำลายอักเสบ ให้รักษาความสะอาดในช่องปาก ถ้าปวดมากให้ยาแก้ปวด
- อัณฑะอักเสบให้นอนพัก และรับประทานยาแก้ปวด
- เยื่อหุ้มสมอง และสมองอักเสบไม่มียารักษาเฉพาะ
การป้องกันโรคคางทูม
โดยการฉีดวัคซีน MMR
ควรจะไปพบแพทย์เมื่อไร
- วัดไข้ได้มากกว่า 38.5 องศา
- ปวดอัณฑะ และอัณฑะบวม
- ปวดท้อง
- ปวดศีรษะและซึมลง