jrprint

หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน

adv

การวางแผนการรับประทานอาหารโดยใช้ดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index) และภาระน้ำตาล (Glycemic Load)



1. ดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index: GI) คืออะไร

ดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index)

คือการวัดการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดที่เกิดขึ้นหลังจากบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โดยใช้มาตรฐานเป็นน้ำตาลกลูโคส (ซึ่งมีค่า GI เท่ากับ 100) อาหารที่มีค่า GI สูง (มากกว่า 70) จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อาหารที่มีค่า GI ต่ำ (ต่ำกว่า 55) จะเพิ่มน้ำตาลในเลือดช้าลง

ดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index หรือ GI) เป็นระบบการจัดอันดับคาร์โบไฮเดรตในอาหารตามผลกระทบที่มีต่อระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อบริโภค โดยจะให้คะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 100 โดยอาหารที่มีค่า GI สูงจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อาหารที่มีค่า GI ต่ำจะทำให้ระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

การจัดอันดับของดัชนีน้ำตาล

  • GI ต่ำ: 0 - 55
  • GI ปานกลาง: 56 - 69
  • GI สูง: 70 ขึ้นไป

ประโยชน์ของการเลือกอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ

  1. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: อาหารที่มี GI ต่ำทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้าๆ ซึ่งมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  2. เพิ่มความรู้สึกอิ่ม: อาหารที่มี GI ต่ำมักจะมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ลดความอยากอาหาร
  3. ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง: การบริโภคอาหารที่มี GI ต่ำสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคเบาหวานประเภท 2

ตัวอย่างอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ

  1. ธัญพืช

    • ข้าวกล้อง
    • ข้าวโอ๊ต
    • ควินัว
    • ขนมปังโฮลเกรน
  2. ผัก

    • ผักใบเขียว เช่น คะน้า, ผักโขม
    • บร็อคโคลี่
    • มะเขือเทศ
    • แครอท
  3. ผลไม้

    • แอปเปิล
    • เบอร์รี่ (สตรอว์เบอร์รี, บลูเบอร์รี)
    • ส้ม
    • ลูกแพร์
  4. โปรตีนและไขมันดี

    • ถั่วและพืชตระกูลถั่ว (ถั่วดำ, ถั่วแดง)
    • ปลาและเนื้อไม่ติดมัน
    • อะโวคาโด
    • น้ำมันมะกอก

เคล็ดลับในการเลือกอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ

  • ตรวจสอบฉลาก: ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับค่า GI ของอาหาร และเลือกอาหารที่มีค่า GI ต่ำ
  • บริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: ไฟเบอร์ช่วยชะลอการดูดซึมของน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด
  • รับประทานอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป: อาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูปมักมีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าและมีสารอาหารมากกว่า
  • ผสมอาหาร: การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและไขมันดีร่วมกับคาร์โบไฮเดรตที่มีค่า GI สูง สามารถช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด

สรุป

การเลือกอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว รวมถึงการป้องกันโรคเรื้อรังและการรักษาน้ำหนักที่เหมาะสม การรู้จักเลือกและผสมผสานอาหารที่มี GI ต่ำในมื้ออาหารจึงเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ

เราจะใช้ Glycemic Index ในการวางแผนรับประทานอาหารอย่างไร

เนื่องจากอาหารที่เรารับประทานมีมากมายคงจะจำกันไม่ได้หมด นอกจากนั้นอาหารบางชนิดก็ไม่ได้มีการหาค่า GI ดังนั้นให้จำเฉพาะอาหารที่เรารับประทานบ่อย ส่วนที่ไม่แน่ใจก็อย่ารับประทานมาก ให้หาข้อมูลก่อน แนวทางการใช้ GI ในการวางแผนรับประทานอาหารมีดังนี้

  1. รับประทานอาหารที่มี GI ต่ำหรือปานกลาง เช่น ถั่ว, ข้าวโอ๊ต, เป็นประจำในปริมาณที่ไม่มากเกินไป ส่วนอาหารที่มี GI สูง เช่นขนมปัง ข้าว มันฝรั่งก็ให้รับประทานแต่เพียงเล็กน้อย
  • ใช้ข้าวซ้อมมือ ธัญพืชแทนข้าวขาว หรือมันฝรั่ง
  • ใช้ถั่วต่างๆเป็นของว่างแทน เช่น มันฝรั่งทอด แครกเกอร์
  • รับประทานผลไม้ที่มี GI ต่ำ เช่น แอปเปิ้ล แพร์ เบอรี่,และcitrus หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มี GI สูงเช่น แตงโม สัปรส และลูกเกด
  • อาหาร cereal ซึ่งมักจะนิยมรับประทานตอนเช้าต้องเลือกชนิดที่มี GI ต่ำ
  • เครื่องดื่มหรืออาหารที่มี GI สูงต้องหลีกเลี่ยงเช่น ลูกอม น้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผึ้ง
  1. รับประทานอาหารให้น้อย แต่บ่อย

ภาระน้ำตาล (Glycemic Load: GL) คืออะไร?

ภาระน้ำตาล (Glycemic Load)

เป็นการวัดที่นำปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่บริโภคมาร่วมคำนวณกับค่า GI ทำให้สามารถประเมินผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้แม่นยำขึ้น โดยคำนวณจากสูตร:

สูตรการคำนวณ Glycemic Load (GL) คือ:

GL = (คาร์โบไฮเดรต (กรัม) x ค่า GI) / 100

โดยที่:

  • GL คือ ปริมาณน้ำตาล (Glycemic Load)
  • คาร์โบไฮเดรต (กรัม) คือ ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่มีอยู่ในอาหารนั้นๆ (ดูได้จากฉลากโภชนาการ)
  • ค่า GI คือ ค่าดัชนีน้ำตาลของอาหารนั้นๆ (หาได้จากตาราง GI)

ตัวอย่างการคำนวณ

สมมติว่าเรากินข้าวขาว 100 กรัม ซึ่งมีคาร์โบไฮเดรต 80 กรัม และมีค่า GI เท่ากับ 87

จีแอล = (80 x 87) / 100 = 69.6

ดังนั้น ข้าวขาว 100 กรัม มีค่า GL เท่ากับ 69.6

การแปลผลค่า GL

  • GL ต่ำกว่า 10: ถือว่ามีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อย
  • GL 11-19: ถือว่ามีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดปานกลาง
  • GL 20 ขึ้นไป: ถือว่ามีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง


ข้อควรระวัง

  • ค่า GL เป็นค่าโดยประมาณ อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการปรุงอาหาร ชนิดของอาหาร ฯลฯ
  • การคำนวณ GL ควรใช้ควบคู่กับการพิจารณาค่า GI และปริมาณคาร์โบไฮเดรต เพื่อประเมินผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดอย่างครบถ้วน

ปริมาณน้ำตาลในอาหาร Glycemic load

อาหาร GL = ( อาหาร GI x จำนวน (กรัม) ของอาหาร คาร์โบไฮเดรตที่มี ให้ต่อหน่วยบริโภค)/100

สำหรับการเสิร์ฟอาหารทั่วไป GL

แม้จะมี GI ที่คล้ายกัน แตงโมหนึ่งหน่วยบริโภคมีค่า GL เท่ากับ 8 ในขณะที่โดนัทขนาดกลางมีค่า GL เท่ากับ 17 ค่า GL ในอาหารคือผลรวมของ GL สำหรับอาหารทั้งหมดที่บริโภคในอาหาร

ควรสังเกตว่าแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วการเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพจะรวมถึงอาหารที่มีค่า GI ต่ำ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ตัวอย่างเช่น อาหารที่มี GI ปานกลางถึงสูง เช่น พาร์สนิป แตงโม กล้วย และสับปะรด จะมี GLs ต่ำถึงปานกลาง

ตารางที่ 1 ค่า GI และ GL สำหรับอาหารที่เลือก
อาหาร GI
(กลูโคส=100)
ขนาดที่ให้บริการ คาร์โบไฮเดรต* ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค (g) GL ต่อการให้บริการ
มันฝรั่งอบ
111
1 หน่วย
30
33
มันฝรั่ง, ขาว, ต้ม (โดยเฉลี่ย)
82
1 หน่วย
30
25
เค้กข้าวพอง
82
เค้ก 3 ชิ้น
21
17
คอร์นเฟล็ค
79
1 ถ้วย
26
20
ถั่วเยลลี่
78
1 ออนซ์
28
22
โดนัท
76
1 สื่อ
23
17
แตงโม
76
1 ถ้วย
11
8
แครกเกอร์โซดา
74
4 แครกเกอร์
17
12
ขนมปังขาว-แป้งสาลี
71
1 ชิ้นใหญ่
14
10
แพนเค้ก
67
เส้นผ่านศูนย์กลาง 6"
58
39
ข้าวขาวต้ม
66
1 ถ้วย
53
35
น้ำตาลทราย (ซูโครส)
63
2 ช้อนชา
10
6
วันที่แห้ง
62
2 ออนซ์
40
25
สปาเก็ตตี้ขาวต้ม (20 นาที)
58
1 ถ้วย
44
25
ที่รัก บริสุทธิ์
58
1 ช้อนโต๊ะ
17
10
สับปะรดดิบ
58
½ถ้วย
19
11
กล้วยดิบ
55
1 ถ้วย
24
13
น้ำเชื่อมเมเปิ้ล, แคนาดา
54
1 ช้อนโต๊ะ
14
7
พาร์สนิป ปอกเปลือก ต้ม
52
½ถ้วย
10
5
ข้าวกล้องต้ม
50
1 ถ้วย
42
20
สปาเก็ตตี้, ไวท์, ต้ม (ธรรมดา)
46
1 ถ้วย
44
20
ขนมปังพัมเปอร์นิเกิลโฮลเกรน
46
1 ชิ้นใหญ่
12
5
All-Bran™ ซีเรียล
45
1 ถ้วย
21
10
สปาเก็ตตี้, อาหารทั้งมื้อ, ต้ม
32
1 ถ้วย
37
14
ส้มดิบ
42
1 สื่อ
11
5
แอปเปิ้ลดิบ
39
1 สื่อ
15
6
ลูกแพร์ดิบ
38
1 สื่อ
11
4
นมพร่องมันเนย
33
8 ออนซ์
13
4
แครอทต้ม
33
½ถ้วย
4
1
ถั่วเลนทิลแห้งต้ม
29
1 ถ้วย
24
7
ถั่วไตแห้งต้ม
28
1 ถ้วย
29
8
ข้าวบาร์เลย์มุกต้ม
28
1 ถ้วย
38
11
เม็ดมะม่วงหิมพานต์
25
1 ออนซ์
9
2
ถั่ว
18
1 ออนซ์
6
1
*ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่มีอยู่ในอาหารที่ไม่รวมคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยไม่ได้ เช่น ใยอาหาร

2. วิธีการใช้ GI และ GL ในการวางแผนการรับประทานอาหาร

การวางแผนอาหารโดยอิง GI และ GL เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้เลือดมีความคงที่และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง โดยการปรับ GI และ GL ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ สามารถแนะนำได้ดังนี้:

สำหรับคนปกติ

  • การเลือกอาหาร: ควรเลือกอาหารที่มี GI และ GL ต่ำเพื่อให้พลังงานยั่งยืนและคงที่ อาทิ ข้าวกล้อง โฮลเกรน ผัก ผลไม้บางชนิด (เช่น แอปเปิ้ล, เชอร์รี่)
  • การวางแผนอาหาร: สามารถเลือกกินคาร์โบไฮเดรตจากแหล่งธรรมชาติ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ มันฝรั่งเล็กๆ ควบคู่กับแหล่งโปรตีนและไขมันดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมอาหารให้ดีขึ้น และคงระดับน้ำตาลในเลือด

สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก

  • การเลือกอาหาร: เน้นการเลือกอาหารที่มี GI และ GL ต่ำเพื่อช่วยควบคุมความอยากอาหารและอาการหิว อาหารที่ควรรับประทาน ได้แก่ ถั่วเหลือง ผักโขม ข้าวโพด
  • การวางแผนอาหาร: แนะนำการกินคาร์โบไฮเดรตในปริมาณน้อยแต่เพียงพอต่อความต้องการ และเพิ่มการบริโภคโปรตีนจากแหล่งที่ไขมันต่ำ เช่น อกไก่ ไข่ขาว เพื่อให้รู้สึกอิ่มท้องนานขึ้น

สำหรับคนเป็นเบาหวาน

  • การเลือกอาหาร: การเลือกอาหารที่มี GI และ GL ต่ำเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น อาหารที่แนะนำ ได้แก่ ผักใบเขียว ข้าวกล้อง
  • การวางแผนอาหาร: ควรควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตในแต่ละมื้อ และเลือกโปรตีนที่มีไขมันต่ำหรือไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน เต้าหู้ น้ำมันมะกอก เพื่อไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป

3. ประโยชน์ของการวางแผนการกินโดยใช้ GI และ GL

การใช้ GI และ GL ช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดมีความเป็นไปได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมน้ำหนักหรือการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ และเบาหวานประเภท 2

สรุป: การนำ GI และ GL มาใช้ในการวางแผนการรับประทานอาหารเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมสำหรับคนในกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกัน เพียงเลือกอาหารที่เหมาะสม ร่วมกับการควบคุมปริมาณอาหารและสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย

แผนภูมิการโหลดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับอาหารทั่วไป

แผนภูมิต่อไปนี้เน้นอาหารที่มี GL ต่ำ ปานกลาง และสูง โดยอิงจากข้อมูลจากสถาบัน Linus Pauling แห่ง Oregon State University 9 

อาหาร GL ต่ำ

(10 หรือน้อยกว่า)

อาหาร จีแอล
 แอปเปิล  6
 แครอทต้ม  1
 เม็ดมะม่วงหิมพานต์  2
 ถั่วไต  8
 ถั่วเลนทิลแห้งและต้ม  7
 ส้ม  5
 ถั่ว  1
 ลูกแพร์  4
 นมพร่องมันเนย  4
 แตงโม  8
ขนมปังขาว (ข้าวสาลี) 10

อาหาร GL ปานกลาง

(11 ถึง 19)

อาหาร  จีแอล
 กล้วย  13
 ไข่มุกแทบจะต้ม  11
 เค้กข้าวพอง  17
 สปาเก็ตตี้โฮลวีท  14

อาหาร GL สูง

(20 หรือมากกว่า)

 อาหาร  จีแอล
 ข้าวกล้อง    20
 คอร์นเฟล็ค  20
 วันที่  25
 มันฝรั่งต้ม  25
 อาหารอิตาลีเส้นยาว   20
 ข้าวสีขาว  35

วิธีที่ดีที่สุดในการทดสอบผลกระทบของอาหาร

สมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริการะบุว่าปริมาณคาร์โบไฮเดรต (กรัมของคาร์โบไฮเดรต) และอินซูลินที่มีอยู่อาจเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีอิทธิพลต่อการตอบสนองของน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร และควรนำมาพิจารณาเมื่อวางแผนการรับประทานอาหาร 

วิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในการประเมินว่าร่างกายของคุณได้รับผลกระทบจากอาหารบางชนิดอย่างไร คือการทดสอบระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร 2 ชั่วโมง หรือใช้ระบบตรวจวัดระดับน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง

สำหรับคนส่วนใหญ่ ผลน้ำตาลในเลือดในอุดมคติคือน้อยกว่า 180 มก./ดล. สองชั่วโมงหลังเริ่มมื้ออาหาร หากคุณไม่แน่ใจว่าเป้าหมายน้ำตาลในเลือดควรเป็นเท่าใด ให้ปรึกษาแพทย์ของคุณ

ดัชนีน้ำตาลและปริมาณน้ำตาล

สรุป

ทบทวนวันที่

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

Google
 

เพิ่มเพื่อน