หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน
ประวัติและวิวัฒนาการของอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ สามารถย้อนไปได้หลายสิบปี โดยได้รับการพัฒนามาจากความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของคาร์โบไฮเดรตในร่างกายและการควบคุมน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วงทศวรรษ 1920: แพทย์เริ่มใช้ อาหารคีโตเจนิค (Ketogenic Diet) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำสำหรับการรักษาโรคลมชักในเด็ก แนวทางนี้ใช้การลดคาร์โบไฮเดรตเพื่อสร้างภาวะคีโตซิส ซึ่งเป็นกระบวนการที่ร่างกายเผาผลาญไขมันแทนคาร์โบไฮเดรต การรักษานี้ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันในบางกรณี .
ช่วงทศวรรษ 1960: ดร. เฮอร์แมน ทอลเดอร์ส (Herman Taller) ได้ตีพิมพ์หนังสือ Calories Don't Count ที่เสนอแนวคิดการควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตเพื่อควบคุมน้ำหนัก และแนะนำการบริโภคไขมันแทนการลดแคลอรี ซึ่งเป็นแนวทางที่ท้าทายทฤษฎีในเวลานั้นที่เน้นการลดแคลอรีเพื่อควบคุมน้ำหนัก .
ช่วงทศวรรษ 1970: ดร. โรเบิร์ต แอตกินส์ (Dr. Robert Atkins) ได้นำเสนอ อาหารแอตกินส์ (Atkins Diet) ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางการรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด อาหารนี้เน้นการลดคาร์โบไฮเดรตและเพิ่มการบริโภคไขมันและโปรตีนเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน แนวทางของแอตกินส์ได้กลายเป็นที่นิยมในวงกว้าง โดยเฉพาะในยุค 1990s .
ทศวรรษ 2000s: อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงต้นทศวรรษ 2000 โดยมีการสนับสนุนจากงานวิจัยและผลการทดลองที่แสดงให้เห็นว่าอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากนี้ยังได้รับความสนใจในกลุ่มนักกีฬาและผู้ที่ต้องการปรับปรุงสมรรถภาพร่างกาย .
อาหารคีโตเจนิค (Ketogenic Diet): ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบัน เนื่องจากสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วและช่วยในการควบคุมโรคบางประเภท เช่น โรคเบาหวานประเภท 2 และโรคลมชัก นอกจากนี้ยังมีการวิจัยมากขึ้นที่สนับสนุนประสิทธิภาพของอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำในการปรับปรุงสุขภาพโดยรวม .
จากแนวทางที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำยังคงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและปรับปรุงสุขภาพ แต่ควรพิจารณาความเสี่ยงและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนการเริ่มต้น
ทบทวนวันที่
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว