วิธีใช้ Atorvastatin อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
วิธีใช้ยา Atorvastatin
ยา Atorvastatin เป็นยาที่ใช้ตามใบสั่งแพทย์ และใช้เพื่อการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูง หรือคอเลสเตอรอลสูงเท่านั้น ยาชนิดนี้สามารถรับประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกวัน ระหว่างที่ใช้ยาดังกล่าว ควรเก็บยาให้ห่างจากความชื้น ความร้อน และเก็บในที่ร่ม
- อ่านคำแนะนำในการใช้ยาที่ได้รับจากเภสัชกรก่อนใช้ยานี้ และในทุกครั้งที่มารับยาซ้ำ หากมีคำถามใดๆ ให้สอบถามจากแพทย์หรือเภสัชกร
- รับประทานยานี้ตามแพทย์สั่ง ซึ่งสามารถรับประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ โดยทั่วไปจะรับประทานวันละ 1 ครั้ง
- ปริมาณยาสูงสุดที่แนะนำคือ 80 มิลลิกรัมต่อวัน
- ขนาดยาที่คุณได้รับจะขึ้นกับสภาวะโรค การตอบสนองต่อการรักษา อายุ และยาอื่นที่กำลังใช้ร่วมด้วย ดังนั้นต้องแจ้งแพทย์และเภสัชกรทราบเกี่ยวกับรายการยา อาหารเสริม และสมุนไพรทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่
- หลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้เกรฟฟรุ๊ต (Grapefruit) หรือ ดื่มน้ำผลไม้เกรฟฟรุ๊ต ระหว่างใช้ยา Atorvastatin ยกเว้นแพทย์แนะนำเป็นอย่างอื่น เพราะผลไม้เกรฟฟรุ๊ตจะส่งผลเพิ่มระดับยา Atorvastatin ในเลือด ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
- ถ้าคุณกำลังใช้ยาอื่นเพื่อช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลด้วย เช่น ยา Cholestyramine หรือยา Colestipol ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม Bile acid-binding resins คุณจะต้องรับประทานยา Atorvastatin อย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อน หรืออย่างน้อย 4 ชั่วโมงหลังรับประทานยาดังกล่าว เพราะการรับประทานยาร่วมกันจะทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ทำให้ยาดูดซึมได้ไม่ดี
- ให้รับประทานยา Atorvastatin เป็นประจำจึงจะได้ประโยชน์จากยาเต็มที่ ดังนั้นแนะนำให้รับประทานในเวลาเดียวกันของทุกวันเพื่อไม่ให้ลืมรับประทานยา และจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีระดับคอเลสเตอรอลหรือไตรกลีเซอไรด์สูงจะไม่มีอาการใดๆ
- นอกจากการรับประทานยาตามสั่งแล้ว คุณยังต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายด้วย ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 4 สัปดาห์ จึงจะได้ผลการรักษาเต็มที่
เรื่องที่ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาอะตอร์วาสแตติน
เรื่องเกี่ยวกับยา
อะตอร์วาสแตตินอาจเกิดปฏิกิริยากับยาและอาหารเสริมอื่นๆ ก่อนรับประทานอะตอร์วาสแตติน โปรดแจ้งให้ผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณทราบเกี่ยวกับยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์หรือยาที่ซื้อเองได้ วิตามิน/แร่ธาตุ ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร และอาหารเสริมอื่นๆ ที่คุณกำลังใช้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนปฏิกิริยากับยา
- แจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบหากคุณแพ้อะตอร์วาสแตติน ยาอื่นๆ หรือส่วนผสมใดๆ ในอะตอร์วาสแตตินชนิดเม็ดและยาแขวนตะกอน สอบถามรายการส่วนผสมจากเภสัชกร
- แจ้งให้แพทย์และเภสัชกรของคุณทราบว่าคุณกำลังรับประทานยา วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรหรือยาที่ซื้อรับประทานเอง เพราะอาจจะเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา
เรื่องเกี่ยวกับโรค
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณเคยมีโรคตับ แพทย์จะตรวจการทำงานของตับก่อนสั่งยาลดไขมัน หากกำลังเป็นโรคตับแพทย์อาจจะไม่สั่งยาลดไขมัน
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 2 แก้วต่อวัน
- แจ้งแพทย์ให้ทราบหากคุณมีโรคประจำตัวเช่นโรคเบาหวาน อาการชัก ความดันโลหิตต่ำ หรือโรคไทรอยด์หรือโรคไต
- แจ้งให้แพืย์ทราบหากคุณมีหรือเคยมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- หากคุณวางแผนที่จะตั้งครรภ์หรือกำลังตั้งครรภ์ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ หากคุณตั้งครรภ์ในขณะที่ใช้อะตอร์วาสแตติน ให้หยุดใช้อะตอร์วาสแตตินและติดต่อแพทย์ทันที
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณกำลังให้นมบุตรหรือมีแผนจะให้นมบุตร
- หากคุณต้องเข้ารับการผ่าตัด รวมถึงการผ่าตัดทางทันตกรรม โปรดแจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบว่าคุณกำลังรับประทานอะตอร์วาสแตติน หากคุณต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือติดเชื้อ โปรดแจ้งให้แพทย์ที่รักษาคุณทราบว่าคุณกำลังรับประทานอะตอร์วาสแตติน
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือปวดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- ปัญหาไต
- ปัญหาเกี่ยวกับตับ
- โรคเบาหวาน
- ประวัติโรคหลอดเลือดสมอง
- การใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิด หรือมีประวัติหรือ
- โรคเบาหวานหรือ
- ภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย (ไทรอยด์ทำงานน้อย) หรือ
- ประวัติโรคตับ—ใช้ด้วยความระมัดระวัง อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่แย่ลง
- อาการชัก ไม่สามารถควบคุมได้ดี หรือ
- ความผิดปกติของอิเล็กโทรไลต์รุนแรงหรือ
- ความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อรุนแรงหรือ
- ความดันโลหิตต่ำ หรือ
- ความผิดปกติของระบบเผาผลาญที่รุนแรงหรือ
- ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด(การติดเชื้อรุนแรง) ผู้ป่วยที่มีภาวะเหล่านี้อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางกล้ามเนื้อและไต
ข้อบ่งชี้การใช้ยา atorvastatin
เมื่อใช้ร่วมกับการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร อะตอร์วาสแตตินได้รับการอนุมัติจาก FDA เพื่อป้องกันเหตุการณ์หลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงด้านหัวใจและโปรไฟล์ไขมันผิดปกติ
การป้องกันปฐมภูมิ
การป้องกันปฐมภูมิหมายถึงการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรคผู้ป่วยที่ไม่มีโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ได้อนุมัติอะตอร์วาสแตตินเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคหลอดเลือดสมอง ขั้นตอนการสร้างหลอดเลือดใหม่ และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยไม่มีโรคหลอดเลือดหัวใจแต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ อะตอร์วาสแตตินได้รับการรับรองจาก FDA เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคหลอดเลือดสมอง การป้องกันปฐมภูมิ
การป้องกันระดับตติยภูมิ
หมายถึงการป้องกันมิให้โรคเกิดซ้ำสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ อะตอร์วาสแตตินได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยาเพื่อลดความเสี่ยงของ
- ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันที่ไม่เสียชีวิต
- โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันและไม่เสียชีวิต
- การผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจหรือการทำบอลลูนหลอดเลือดหัวใจ
- การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
อะตอร์วาสแตตินได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับการรักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติต่อไปนี้:
- ผู้ใหญ่ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงเป็นหลัก (แบบครอบครัวและไม่ใช่ครอบครัว) และภาวะไขมันในเลือดสูงแบบผสม
- ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
- ภาวะ dysbetalipoproteinemia ขั้นต้น
- ภาวะไขมันในเลือดสูงในครอบครัวเดียวกัน
- ผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงแบบครอบครัวเฮเทอโรไซกัส (หลังจากปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง)
ยังไม่มีการศึกษาอะตอร์วาสแตตินในภาวะไขมันในเลือดผิดปกติชนิด I และ V ของเฟรดริกสัน
ข้อห้ามใช้อะตอร์วาสแตติน
ข้อห้ามใช้อะตอร์วาสแตติน ได้แก่
- ผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ส่วนประกอบใด ๆ ของยานี้
- ผู้ป่วยที่มีโรคตับที่ยังมีอาการของโรคอยู่ด้วยก็ตาม ประโยชน์ของการบำบัดเพื่อลดไขมันในเลือดในโรคตับเรื้อรัง เช่น โรคไขมันพอกตับชนิดไม่มีแอลกอฮอล์และโรคตับอักเสบ น่าจะมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได
- อะตอร์วาสแตตินมีข้อห้ามใช้ในระหว่างตั้งครรภ์หรือในผู้ป่วยหญิงที่อาจตั้งครรภ์ ผู้ป่วยหญิงทุกคนที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ควรได้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับทารกในครรภ์ หากตั้งครรภ์ในขณะที่ใช้อะตอร์วาสแตติน ความเสี่ยงดังกล่าวจะเด่นชัดที่สุดในไตรมาสแรก ดังนั้นแนวทางปฏิบัติปัจจุบันจึงแนะนำให้หยุดการรักษาด้วยสแตตินอย่างน้อย 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยานี้ทันทีหากตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เชิงอภิมานล่าสุดได้ตั้งคำถามถึงข้อจำกัดนี้ จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประเมินอัตราส่วนความเสี่ยงต่อประโยชน์จากการใช้สแตตินในระหว่างตั้งครรภ์อย่างแม่นยำ
ผู้ป่วยหญิงควรหลีกเลี่ยงอะตอร์วาสแตตินหากต้องให้นมบุตร หากผู้ป่วยต้องได้รับการบำบัดด้วยอะตอร์วาสแตติน ควรได้รับคำแนะนำให้หยุดให้นมบุตร
ใครบ้างที่อาจไม่สามารถใช้อะตอร์วาสแตตินได้
อะตอร์วาสแตตินไม่เหมาะสำหรับบางคน เพื่อให้แน่ใจว่าจะปลอดภัยสำหรับคุณ โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณ:
- เคยมีอาการแพ้ต่ออะตอร์วาสแตตินหรือยาอื่น ๆ หรือไม่
- มีปัญหาเรื่องตับหรือไต
- คิดว่าคุณอาจจะตั้งครรภ์อยู่ กำลังตั้งครรภ์อยู่ หรือคุณกำลังให้นมบุตรอยู่
- มีโรคปอด
- เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองแตกมาก่อน
- ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำ
- มีไทรอยด์ทำงานน้อย
- เคยมีผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อเมื่อรับประทานสแตตินมาก่อน
- เคยมีอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อ (รวมถึงโรคไฟโบรไมอัลเจีย )
- คุณมีประวัติโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
เม็ดยาเคี้ยวลิพิตอร์ประกอบด้วยสารที่เรียกว่าแอสปาร์แตม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยานี้หากคุณเป็น โรค ฟีนิลคีโตนูเรีย (โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดการเผาผลาญโปรตีนได้น้อย)
ฉันควรทราบอะไรเกี่ยวกับอะตอร์วาสแตตินก่อนที่จะใช้?
- อย่าใช้อะตอร์วาสแตติน เว้นแต่แพทย์จะสั่งให้คุณใช้
- ให้ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งทั้งปริมษรและเวลารับประทาน
- อย่าแบ่งปันอะตอร์วาสแตตินกับผู้อื่น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีอาการเดียวกันกับคุณก็ตาม เพราะอาจเป็นอันตรายต่อพวกเขาได้
- เก็บอะตอร์วาสแตตินให้พ้นจากมือเด็ก
- ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปอาจมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงของอะตอร์วาสแตติน เช่น อาการปวดกล้ามเนื้อ อ่อนแรง และบาดเจ็บมากขึ้น หากคุณอยู่ในกลุ่มอายุนี้ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความเสี่ยงของคุณ
- รับประทานยาอะตอร์วาสแตตินชนิดน้ำในขณะท้องว่าง 1 ชั่วโมงก่อนหรือ 2 ชั่วโมงหลังอาหาร
- ใช้เครื่องมือวัดที่แม่นยำในการตวงยาอะตอร์วาสแตตินชนิดน้ำของคุณ การใช้ช้อนในครัวเรือนไม่ใช่เครื่องมือวัดที่แม่นยำ และอาจทำให้คุณรับประทานยาผิดขนาดได้ ขอให้เภสัชกรแนะนำเครื่องมือวัดที่เหมาะสม
- ไม่ควรรับประทานหรือดื่มน้ำผลไม้จากผลเกรฟฟรุตในปริมาณมาก ๆ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายได้
- หากมีอาการชักชนิดควบคุมไม่ได้ ระดับเกลือแร่ในร่างการเสียสมดุล ความดันโลหิตต่ำอย่างรุนแรง มีอาการติดเชื้อ หรือเจ็บป่วยอย่างรุนแรง ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือต้องเข้ารับการรักษาอย่างฉุกเฉิน ควรหยุดใช้ยานี้ระยะหนึ่งจนกว่าอาการต่าง ๆ จะดีขึ้น
- การใช้ยานี้จะต้องควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมน้ำหนัก ยาจึงจะสามารถช่วยควบคุมระดับไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่ปรับเปลี่ยนอาหาร ยาตัวนี้ก็อาจไม่มีผลต่อการรักษา
- ในระหว่างการรักษา ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจเลือดเป็นประจำเพื่อติดตามระดับไขมันในเลือด
การใช้ที่ถูกต้อง
ใช้ยานี้ตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น ห้ามใช้ยาเกินขนาด ห้ามใช้บ่อยเกินไป และห้ามใช้ยาเป็นเวลานานเกินกว่าที่แพทย์สั่ง
นอกจากยานี้แล้ว แพทย์อาจเปลี่ยนอาหารของคุณเป็นแบบไขมัน น้ำตาล และคอเลสเตอรอลต่ำ ดังนั้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เกี่ยวกับอาหารพิเศษอย่างเคร่งครัด
การใช้งานระบบกันสะเทือน:
- ตวงยาของเหลวในช่องปากด้วยเข็มฉีดยาที่ให้มา
- รับประทานยานี้ทุกวันในเวลาใดก็ได้ รับประทานขณะท้องว่าง (1 ชั่วโมงก่อนหรือ 2 ชั่วโมงหลังอาหาร)
วิธีใช้แท็บเล็ต:
- รับประทานในเวลาเดียวกันทุกวัน
- กลืนเม็ดยาทั้งเม็ด ห้ามหัก บด หรือเคี้ยว ควรรับประทานยานี้พร้อมหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้
ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับอะตอร์วาสแตตินในปริมาณมาก เพราะอาจส่งผลเสียต่อตับได้
แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณดื่มน้ำเกรปฟรุตเป็นประจำ การดื่มน้ำเกรปฟรุตในปริมาณมาก (มากกว่า 1.2 ลิตรต่อวัน) ขณะรับประทานยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและอาจทำให้เกิดปัญหาไตได้
หากมีอาการดังต่อไปนี้ให้หยุดยา และพบแพทย์
- มีอาการปวดกล้ามเนื้อ กดเจ็บกล้ามเนื้อ อ่อนแรง
- มีไข้ อ่อนเพลีย ปัสสาวะสีเข้ม
- บวม น้ำหนักขึ้น ปัสสาวะออกน้อย
- เบื่ออาหาร เจ็บแน่นท้องส่วนบน เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปัสสาวะสีเข็ม อุจาระสีซีด มีดีซ่าน
การติดตาม
ผู้ป่วยที่เริ่มใช้อะตอร์วาสแตตินควรได้รับการตรวจการทำงานของตับและการตรวจระดับไขมันในเลือดก่อนเริ่มการรักษา และตรวจระดับไขมันในเลือดซ้ำอีกครั้งหลังจากการรักษา 6 สัปดาห์ ควรตรวจการทำงานของตับซ้ำตามข้อบ่งชี้ทางคลินิก เมื่อผู้ป่วยมีอาการคงที่แล้ว สามารถตรวจระดับไขมันได้ทุกๆ 6 ถึง 12 เดือน นอกจากนี้ ควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นระยะๆ ในผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
atorvastatin | การใช้ยา | ขนาดยาที่ใช้ | คำเตือน | ผลข้างเคียงของยา | ผลต่อตับ | ผลต่อไต | ผลต่อน้ำตาล | การป้องกันโรค | ห้ามใช้ร่วมกับยา