Chorionic Villus Sampling
CVS (Chorionic villous sampling) คือ การดูดเอาตัวอย่างของรกเด็กมาตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม Chromosome เช่นเดียวกันกับการตรวจน้ำคร่ำ สามารถบอกความผิดปกติของโครโมโซม เช่น Down's syndrome ความพิการแต่กำเนิด ความผิดปกติของโครงสร้างของร่างกาย เช่น Spina bifida (การเปิดของสันหลัง กระดูกสันหลังไม่ปิด) และ Anencephaly (สภาวะที่สมองไม่สมบูรณ์ หรือไม่มีสมอง) เป็นการตรวจหาความผิดปกติของ โรคทางพันธุกรรม และปัญหาอื่นๆของการตั้งครรภ์ แพทย์จะแนะนำการตรวจนี้แก่ท่านที่มีบุตรพิการ หรือมีประวัติครอบครัวที่มีโรคทางพันธุกรรม
วิธีการตรวจโครโมโซม
ดื่มน้ำมากๆก่อนการตรวจเพื่อให้คลื่นเสียงผ่านไปได้ดี
จะนำเอาเซลล์ chorionic villi cells จากเนื้อเยื่อรกที่เกาะกับผนังมดลูกไปตรวจ
วิธีการตรวจ มีสองวิธีคือ
- การเจาะจากหน้าท้องและดูดเอาเซลล์ไปตรวจ
- จากการดูดทางช่องคลอดดดยการอาศัย ultrasound นำทางและใช้ท่อดูดเอาเซลล์รกมาตรวจ เป็นวิธีการที่ใช้บ่อย
เมื่อได้เซลล์มาจะส่งห้องปฏิบัติการเพื่อนำเซลล์ไปเพาะเลี้ยงใช้เวลาประมาณ 7-10 วันจึงจะได้ผล
เวลาที่เหมาะสมในการตรวจ
ประมาณ10-13 สัปดาห์หลังจากประจำเดือนครั้งสุดท้าย
การตรวจนี้จะตรวจโรคอะไรได้บ้าง
- โรคที่เกิดจากความผิดปกติของ Chromosomeเช่น down syndrome,sickle cell anemia,Tay-Sachs diseas
- โรคที่เกิดจากความผิดปกติของ gene เช่น Cystic fibrosis
- ตรวจหาเพศ และโรคที่เป็นกับเพศใดเพศหนึ่ง
วิธีการตรวจ
การเตรียมตัวเพื่อทำการตรวจ การตรวจชิ้นเนื้อจากรกของเด็กไม่จำเป็นต้องให้ยาสลบ อาจใช้เพียงยานอนหลับชนิดฉีดเข้ากระแสเลือด ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องใช้วิสัญญีแพทย์และต้องทำในห้องผ่าตัด ผู้ป่วยต้องงดน้ำงดอาหารก่อนทำอย่างน้อย 6 ชั่วโมง และนอนพักเพื่อสังเกตอาการในโรงพยาบาลอย่างน้อยหนึ่งวัน
- แพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนหลับก่อนแล้ว
- แพทย์จะทำการตรวจครรภ์โดยจะใช้เครื่อง ultrasound เพื่อประเมินอายุครรภ์ที่แน่นอน จำนวนของทารก การเต้นของหัวใจ ท่าและตำแหน่งของทารก ตำแหน่งของรกว่าอยู่ที่ใด เพื่อป้องกันไม่ให้ไปถูกทารก สายสะดือ หรือรก
- หลังจากนั้นแพทย์จะทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกก่อน โดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อแล้วใส่เครื่องมือขยายช่องคลอด (Speculum) เข้าไปในช่องคลอดเพื่อให้สามารถมองเห็นปากมดลูกได้
- แล้วแพทย์จะใช้ท่อพลาสติกเล็กๆสอดผ่านช่องคลอดเข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อดูดเอาชิ้นเนื้อจากรกเด็กมาเพียงเล็กน้อยโดยดูตำแหน่งของรกเด็กผ่านทางการตรวจอัลตร้าซาวด์ ตลอดเวลาเพื่อเป็นการป้องกันการที่ท่อไปดูดส่วนอื่นของเด็ก เมื่อได้ตัวอย่างของชิ้นเนื้อจากรกเด็กมาแล้วก็จะนำไปตรวจหาความผิดปกติในห้องทดลองต่อไป และผลการตรวจจะทราบภายใน 3 วัน
ประโยชน์ของการตรวจ
- เมื่อเทียบกับการตรวจ amniocentesis การตรวจนี้จะตรวจได้เร็วกว่า คือสามารถตรวจพบหลังการตั้งครรภ์เพียงสิบวัน ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำหรับพิจารณาว่าจะดำเนินการตั้งครรภ์ต่อหรือไม่
ความเสี่ยงของการตรวจ
- การตรวจนี้เมื่อเทียบกับ amniocentesis จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง
- อาจจะมีการติดเชื้อได้
- อาจจะเกิดความพิการหากทำก่อน9 สัปดาห์
- โอกาสเกิดประมาณหนึ่งในร้อย
หลังการตรวจหากมีอาการเหล่านี้ให้ปรึกษาแพทย์
ผู้ที่สมควรได้รับการตรวจ
- อายุของคนท้องมากกว่า
35 ปี
- ประวัติครอบครัวคลอดพิการแต่กำเนิด
- คลอดเด็กพิการแต่กำเนิดมาก่อน
- ใช้ยาบางชนิดขณะตั้งครรภ์
- เป็นเบาหวานชนิดที่
1
ผู้ที่ไม่สมควรตรวจ
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการติดเชื้อ
- ตั้งคนนภ์แฝด
- มีปัญหาเรื่องเลือดออกในขณะตั้งครรภ์
เหตุผลของการตรวจหรือไม่ตรวจ
หลังจากทราบผลการตรวจซึ่งอาจจะส่งผลต่อการวางแผนการรักษาดังนี้
- หลังทราบผลจะทำให้การวางแผนได้ง่าย เช่นจะให้ตั้งครรภ์ต่อ หรือหยุดการตั้งครรภ์
- วางแผนเพื่อที่จะดูแลเด็กที่เกิดมา
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคุณแม่
- วางแผนหาคนช่วยเหลือ
เหตุผลของการไม่ทำการตรวจ
- ยอมรับว่าทุกสิ่งเป็นไปตามกรรมดังนั้นจึงไม่ตรวจ
- ความเชื่อส่วนบุคคล ศาสนา ว่าไม่ควรทำ
- บางท่านไม่อยากทำสิ่งที่คิดว่าจะเป็นอันตรายต่อเด็ก