โรคบิดหรือโรคท้องร่วง
ชื่อโรคบิดทำให้เห็นภาพว่าเมื่อป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการบิืดท้อง ปวดเป็นพักๆเชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่เชื้อ Shigella ผู้ที่รับเชื้อโรคจะเกิดอาการหลังจากรับเชื้อไปแล้ว 1-2 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องปวดอยากถ่ายมาก ผู้ป่วยร้อยละ25-50จะมีถ่ายเป็นมูกเลือด มีไข้ และถ่ายเหลวอาการจะเป็นอยู่ 5-7 วัน สำหรับเด็กเล็กหรือผู้สูงอาย ุอาการอาจจะรุนแรงจนกระทั่งต้องนอนโรงพยาบาล เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีอาจจะมีอาการชักเนื่องจากไข้สูงเชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ เชื้อ Shigella sonnei หรือ "Group D" Shigella, Shigella flexneriหรือ "group B" Shigella เชื้อทั้ง 2เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดท้องร่วง การวินิจฉัย โรคสามารถวินิจฉัยได้โดยการเพาะเชื้อจากอุจาระ
การวินิจฉัยโรคบิด
- จากประวัติ ไข้ ปวดท้อง และถ่ายเหลว
- จากการตรวจอุจาระพบว่ามีมูกและเม็ดเลือดขาว
- จากการเพาะเชื้อโรคในอุจาระ
โรคโรคบิดนี้รักษาได้อย่างไร
ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาโรคนี้ได้แก่ ampicillin, trimethoprim/sulfamethoxazole ( Bactrim*หรือ Septra*), nalidixic acid, or ciprofloxacin การใช้ยาจะทำให้หายเร็วขึ้น แต่มีเชื้อที่ดื้อต่อยา ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะในรายที่มีอาการน้อย จะใช้ในรายที่มีอาการรุนแรง สำหรับยาที่ใช้รักษาท้องร่วงคือ Imodium และ Lomotilไม่แนะนำให้ใช้เนื่องจากอาจจะทำให้โรคเป็นมากขึ้น
เป็นโรคนี้แล้วเกิดผลในระยะยาวหรือไม่
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายขาดแต่บางรายใช้เวลาหลายเดือนลำไส้จึงจะขับเชื้อออกจากลำไส้และทำงานปกติ ผู้ป่วยร้อยละ3จะมีอาการข้ออักเสบ เคืองตาและปัสสาวะขัดที่เรียกว่า Reiter's syndrome
ยาที่ใช้รักษาโรคบิด
ยาที่ได้ผลดีคือ ciprofloxacine ขนาด 500 มิลิกรัมวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน
หรืออาจะใช้ยา azithromycin, and ceftriaxone
การป้องกันการติดโรคบิด
- การล้างมือเป็นวิธีการที่ดีในการป้องกันโรคติดต่อโดยเฉพาะโรคทางเดินอาหาร
- สำหรับผู้ป่วยก็ควรจะล้างมือบ่อยๆโดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำด้วยสบู่
- สำหรับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยก็ควรจะล้างมือบ่อยๆเช่นกัน
- สำหรับผู้ดูแลเด็กที่ป่วยเป็ฯโรคท้องร่วง เมื่อเปลี่ยนผ้าอ้อมต้องล้างมือทันที
- เด็กที่ยังควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ไม่ควนว่ายในในสระ
- ผู้ที่มีอาการท้องร่วงก็ไม่ควรว่ายน้ำ
- ปริมาณคลอรีนในสระควรจะมีความเข้มข้น 0.5-PPM
- ผู้ที่ป่วยเป็นโรคท้องร่วงไม่ควรเป็นผู้ปรุงอาหาร
- อาหารต้องปรุงให้สุข