หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน
การให้การรักษาในผู้ป่วยแต่ละรายแตกต่างกัน เนื่องจากความหลากหลายทางอาการทางคลินิกดังกล่าวข้างต้น การรักษาในผู้ป่วยโรคSLEไม่ได้จำกัดเพียงแค่การรักษาขณะที่ผู้ป่วยมีอาการของโรคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวางแผนการรักษาโรคเอสแอลอีในระยะยาว เพื่อป้องกันอาการของโรคกำเริบภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาและการติดตามผลการรักษาที่เหมาะสม
จุดประสงค์ในการรักษาโรคเอสแอลอี SLEที่สำคัญคือ ควบคุมอาการแสดงของโรคขณะที่มีอาการรุนแรงให้เข้าสู่ภาวะโรคสงบ รักษาป้องกันไม่ให้อาการของโรคกำเริบ หรือควบคุมให้มีอาการแสดงของโรคน้อยที่สุด ป้องกันไม่ให้อวัยวะสูญเสียการทำงานอันเนื่องมาจากโรค และป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาในระยาว
หากผู้ป่วยเข้าใจและยอมรับผู้ป่วยจะสามารถดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง และมารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ควรแนะนำการปฏิบัติตัวอื่น ๆ ได้แก่ การป้องกันการสัมผัสแสงแดด โดยการหลีกเลี่ยงการถูกแดด หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงควรสวมหมวก และเสื้อแขนยาว ใช้ครีมกันแดด เนื่องจากการสัมผัสรังสี ultraviolet นั้นไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดผื่นตามผิวหนังที่สัมผัสแสงแดดเท่านั้น ยังทำให้อาการโดยรวมของโรคกำเริบด้วย ควรพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ในผู้ป่วยที่ต้องได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ควรรับประทานอาการที่สุกสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อของทางเดินอาหาร รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำเพื่อป้องกันภาวะหลอดเลือดอุดตันในอนาคต รับปรัทานอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูงเพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน หยุดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงที่ชุมชนแออัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อของทางเดินหายใจ ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อให้กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง
ในปัจจุบันมีการแบ่งการรักษาออกเป็น 2 ระยะ คือ การรักษาระยะชักนำโรคเข้าสู่ระยะสงบ (induction to remission) และการรักษาระยะรักษาป้องกันการกลับซ้ำของโรค (maintenance of remission)
ในระยะที่อาการของไตอักเสบนั้น จะมีการให้ยากดภูมิต้านทานในขนาดสูงเพื่อชักนำให้โรคเข้าสู่ระยะสงบให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดภาวะไตวาย
การให้ยา cyclophosphamide ทางหลอดเลือดควรลดขนาดยาลงร้อยละ 25-50 ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตลดลง นอกจากนี้เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงในระยะสั้นและระยะยาวของยา cyclophosphamide ในปัจจุบันได้มีการศึกาการใช้ยา mycophenolate mofetil (MMF) พบว่าให้ผลการรักษาที่ดีใกล้เคียงกับผลการรักาด้วยยา cyclophosphamide ดังนั้น ยา MMF จึงเป็นยาที่ได้รับการยอมรับอีกชนิดหนึ่งในการใช้รักษาผู้ป่วย PLN โดยการให้ 2 กรัมต่อวัน หากหลังการรักษา 3 เดือนอาการยังไม่ดีขึ้นอาจปรับขนาดของยาขึ้นเป็น 3 กรัมต่อวัน ยาชนิดนี้อาจกดการทำงานของไขกระดูก และมีผลข้างเคียง คือ อาการถ่ายเหลวจึงควรเริ่มยาในขนาดต่ำก่อน และพิจารณาเพิ่มขนาดยาสูงขึ้นเมื่อผู้ป่วยไม่มีอาการข้างเคียง กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไตอักเสบรุนแรง มีการทำงานของไตลดลง หรือการตรวจเนื้อเยื่อเป็น rapidly progressive glomerulonephritis (RPGN) ถือเป็นภาวะเร่งด่วนที่ผู้ป่วยควรได้รับยา methylprednisolone ขนาดสูง (1000 มิลลิกรัมต่อวัน นาน 3-5 วัน) และ/หรือการทำการเปลี่ยนพลาสม่าร่วมด้วย
ในผู้ป่วยที่อาการของโรคเอสแอลอีเข้าสู่ระยะสงบแล้วนั้นพบว่า 1 ใน 3 ถึง 1 ใน 4 ของผู้ป่วย มีการกำเริบ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยากดภูมิต้านทานที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ต่ออีกระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันการกำเริบของโรคเอสแอลอี โดยผู้ป่วยที่ได้รับยา cyclophosphamide ทางหลอดเลือดทุกเดือนอยู่แล้วการรักษาเพื่อป้องกันการกลับซ้ำด้วยยา
ดังนั้นในปัจจุบันการรักษาในช่วงการป้องกันการกลับเป็นซ้ำจึงอาจเลือกใช้ได้ทั้งยา MMF หรือยา azathioprine ผู้ป่วยไตอักเสบSLEระดับที่ V (membranous lupus nephritis; MLN) นั้นจะมีโปรตีนออกมาทางปัสสาวะมาก อาจมากกว่า 3 กรัมต่อวัน มีเม็ดเลือดออกทางปัสสาวะได้บ้าง อาจมีความดันโลหิตสูงร่วมด้วยได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้การทำงานของไตจะลดลงอย่างช้า ๆ แต่มักไม่ค่อยตอบสนองต่อการให้คอร์ติโคสเตียรอยด์ และยากดภูมิต้านทานที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ดังนั้นแพทย์จึงควรเลือกใช้ยาตามความเหมาะสมต่อผู้ป่วยแต่ละราย สำหรับระยะเวลาการให้ยากดภูมิต้านทานนั้นยังไม่มีการศึกษาที่แน่ชัด แต่ควรให้ยากดภูมิต้านทานจนโรคเข้าสู่ระยะสงบ และให้ต่อไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปี ในปัจจุบันการรักษาไตอักเสบระดับที่ V เน้นการรักษาภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดสูง และให้ยาที่ช่วยลดการขับโปรตีนออกทางปัสสาวะ เช่น ยากลุ่ม ACEI (Angiotensin converting enzyme inhibitor) หรือ ARB (Angiotensin receptor antagonist) ส่วนผู้ป่วย MLN ร่วมกับ PLN นั้นให้การรักษาเหมือนการรักษา PLN ในทางปฏิบัตินั้นไม่ได้มีการตัดชิ้นเนื้อไต เพื่อตรวจระดับการอักเสบของเนื้อไตในผู้ป่วยที่มีไตอักเสบSLEทุกราย ดังนั้นการพิจารณาการเริ่มรักษาจึงอาศัยอาการ อาการแสดง ผลการตรวจปัสสาวะและผลการตรวจเลือดเป็นหลักเพื่อคะเนระดับการอักเสบของไตในการประกอบการพิจารณาการรักษา หากผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาหรือตอบสนองไม่ดีเท่าที่ควรจึงจะพิจารณาการทำการตรวจเนื้อเยื่อไตต่อไป
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคSLEที่ใช้บ่อย ได้แก่ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาต้านมาลาเรีย ยอคอร์ติโคสเตียรอยด์ และยากดภูมิต้านทานที่ไม่ใช่สเตียรอยด์การพิจารณาการให้ยาชนิดไหน อย่างไร ขึ้นอยู่กับจำนวนอวัยวะ หรือระบบที่มีความผิดปกติและความรุนแรงของการอักเสบของอวัยวะนั้น ๆ โดยจะต้องพิจารณาการให้ยาครอบคลุมอาการของอวัยวะที่สำคัญแก่ชีวิต หรือมีอาการแสดงที่รุนแรงมากที่สุด เพราะการรักษาจะสามารถครอบคลุมอาการเล็ก ๆ น้อยอื่น ๆ ร่วมด้วยอยู่แล้วเนื่องจากอาการแสดงของบางอวัยวะในโรคSLEพบได้ไม่บ่อยนัก รูปแบบการศึกษาที่สนับสนุนวิธีการรักษาจึงเป็นแบบการรายงานกลุ่มผู้ป่วยเป็นส่วนใหญ่ มีการศึกษาแบบสุ่มควบคุมน้อย ดังนั้นในปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดแนวทางในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการแสดงเฉพาะอวัยวะที่ชัดเจน แนวทางการรักษาอิงตามข้อมูลการศึกษาเท่าที่มีอยู่ และตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเป็นส่วนใหญ่
การรักษาโรคSLE |
---|