การวินิจฉัยโรคเอสแอลอี SLE
การตรวจเลือด
-
การตรวจความสมบูรณืของเม็ดเลือด CBC
-
การตรวจการทำงานของไต Serum creatinine
-
การตรวจปัสสาวะ Urinalysis
-
ESR or CRP results
-
Complement levels
-
การตรวจการทำงานของตับ Liver function tests
-
Creatine kinase assay
-
Autoantibody tests
การตรวจทางรังสี
-
การตรวจรังสีของข้อ
-
การตรวจรังสีปอด Chest radiography and chest CT scanning
-
การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงหัวใจ Echocardiography
-
การตรวจ MRI/ MRA สมอง
-
การตรวจ Cardiac MRI
การตรวจพิเศษ
ผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องมีการตรวจพิเศษเช่น
-
การเจาะเข่าในกรณีที่มีการอักเสบของเข่า
-
การเจาะน้ำไขสันหลัง
-
การตัดชิ้นเนื้อไต
การวินิจฉัยโรคเอสแอลอี
การวินิจฉัยผู้ป่วยโรคลุปัสในปัจจุบันจะอิงตามเกณฑ์ของ American College of Rheumatology ซึ่งเกณฑ์นี้ประกอบไปด้วยอาการทางคลินิก และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์โดยผู้ป่วยควรมีจำนวนข้อที่เข้าได้อย่างน้อย 4 ข้อหรือมากกว่าจากจำนวนทั้งหมด 11 ข้อ เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยมีความผิดปกติในหลายระบบ เกณฑ์วินิจฉัยดังกล่าว ให้ความไวในการวินิจฉัยโรค SLE ร้อยละ 96 และมีความแม่นยำร้อยละ 96
ในบางครั้งผู้ป่วยอาจจะมีจำนวนข้อที่เข้าได้ตามเกณฑ์น้อยกว่า 4 ข้อ เนื่องจากบางครั้งอาการ และอาการแสดงต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน ดังนั้นหากผู้ป่วยมีอาการค่อนข้างมาก และมีอาการโน้มเอียงทาง โรคSLEแพทย์อาจต้องพิจารณาให้การรักษาก่อน เช่น ผู้ป่วยมีโปรตีนในปัสสาวะมากกว่า 1 กรัมร่วมกับมีเม็ดเลือดแดง แคสเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ ร่วมกับมี ANA ให้ผลบวกในระดับสูง anti-ds DNA ให้ผลบวก การตัดตรวจเนื้อไตเข้าได้กับภาวะไตอักเสบSLE ถึงแม้ผู้ป่วยรายนี้จะมีเพียง 3 ข้อก็ตาม ก็ควรได้รับการรักษาในทันทีการวินิจฉัยโรค SLE ไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากอาการของโรคซับซ้อน การวินิจฉัยต้องอาศัยประวัติการเจ็บป่วยที่ค่อยข้างละเอียด และแพทย์ต้องระลึกถึงโรคนี้อยู่เสมอ การตรวจร่างกายถ้าพบลักษณะเฉพาะก็สามารถวินิจฉัยได้ นอกจากนั้นแพทย์จะเจาะเลือดเพื่อวินิฉัยดังนี้
- Antinuclear antibody คือตรวจหาว่ามีภูมิคุ้มกันของร่างกาย antibody ทำลาย nucleus ตัวเองหรือไม่ วิธีการโดยการหยด serum ของผู้ป่วยบนเซลล์ของตับหนู แล้วใช้ antihuman IgG ซึ่งฉาบสารเรืองแสงส่องกล้องจุลทรรศน์เรืองแสงจะพบความผิดปกติได้ ถ้าการตรวจให้ผลบวกแสดงว่าเป็น SLE
- การตัดชิ้นเนื้อ biopsy ที่ผิวหนังและไตเพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันที่เกาะติดอวัยวะดังกล่าว
- การตรวจหา VDRL ให้ผลบวกหลอก
- การตรวจ CBC อาจจะพบว่าซีด หรือเม็ดเลือดขาวต่ำ หรือเกล็ดเลือดต่ำ
- การตรวจปัสสาวะพบว่ามีไข่ขาวรั่วมากกว่า 0.5กรัม ต่อวันและบางรายอาจจะพบเซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะด้วย
- ตรวจพบ LE cell ในเลือด
- ตรวจ Erythrocyte sedimentation rate (ESR) ถ้ามีการอักเสบมากค่า ESR จะสูงค่าตัวนี้ใช้ติดตามการรักษา
- เจาะหา Complement levels คือสารเคมีในร่างกายถ้าโรคเป็นมากค่านี้จะต่ำ
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคSLE Systemic Lupus Erythematosus (SLE)
การวินิจฉัยโรคโรคพุ่มพวง,โรคเอสแอลอี จะต้องอาศัยประวัติการเจ็บป่วย และผลตรวจเลือด การวินิจฉัยจะอาศัยเกณฑ์การวินิจฉัยเพื่อให้การวินิจฉัยแม่นยำขึ้น เกณฑ์การวินิจฉัย( ตาม American College of Rheumatology (ACR) criteria )จะมีความไว 85% และความแม่นยำ 95% เกณฑ์ดังกล่าวได้แก่
- มีผื่นที่แก้ม
- มีผื่น Discoid rash
- มีผื่นอาการแพ้แสง
- แพทย์ตรวจพบแผลในปาก
- มีข้ออักเสบ พบข้อมีอาการปวด บวม แดง ร้อนมากกว่า 2 ข้อ
- เยื่อหุ้มปอดหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
- ตรวจปัสสาวะพบโปรตีนหรือพบ cellular casts
- มีอาการทางระบบประสาท เช่น ชัก อาการทางจิต
- มีความผิดปกติทางโรคเลือดได้แก่โลหิตจางจาก Hemolytic anemia หรือเม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 4000/L หรือเซลล์ lymphopeniaน้อยกว่า 1500/L หรือเกล็ดเลือดขาวต่ำกว่า thrombocytopenia 100,000/L
- ตรวจเลือดระบบภูมิพบ Anti-dsDNA, anti-Sm,และหรือ anti-phospholipid
- ตรวจพบ Antinuclear antibodies: อ่านที่นี่
เกณฑ์การวินิจฉัยต้องใช้ 4 ใน 11 ข้อ
อาการโรค SLE | การรักษาโรค SLE |
---|
สาเหตุของโรคแอลอี อาการของโรคเอสแอลอี การวินิจฉัย SLE การรักษาโรค SLE