โรคปริทันต์
โรคปริทันต์อักเสบคืออะไร
โรคปริทันต์อักเสบ คือ โรคที่มีการอักเสบของอวัยวะที่อยู่รอบ ๆ ตัวฟัน ได้แก่ เหงือก เอ็นยึดปริทันต์ เคลือบรากฟัน และกระดูกเบ้าฟัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาอวัยวะต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกทำลายไปอย่างช้า ๆ ทุกวัน การทำลายของอวัยวะปริทันต์มักเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ฟันนั้นก็จะไม่สามารถอยู่ในช่องปากได้อย่างแข็งแรง อาจมีการโยก หรือต้องถอนฟันไป ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยมีอาการปวดเลย
ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพออายุมากจึงมักพบฟันโยกเป็นหนอง แล้วต้องมาถอนฟันและใส่ฟันปลอม
จนต้องสูญเสียฟันไปในที่สุด โรคนี้ภาษาชาวบ้านเรียกว่า โรครำมะนาด มีความรุนแรงมากกว่าโรคเหงือกอักเสบ
ไม่มีอาการปวดฟันก็่ต้องตรวจฟัน
คุณไม่เคยมีอาการปวดฟัน และคิดว่าฟันก็แข็งแรงดีอยู่ แต่ทันตแพทย์แนะนำให้คุณมาพบทันตแพทย์และตรวจฟันประจำปี เนื่องจากระยะแรกโรคในช่องปากส่วนใหญ่ไม่ได้แสดงอาการเด่นชัด หากคุณเริ่มมีอาการปวดแล้วแสดงว่าโรคในช่องปากอยู่ในขั้นรุนแรงแล้ว โรคปริทันต์ก็เป็นอีกโรคหนึ่งในช่องปากที่มีลักษณะดังกล่าว และพบมากในคนทั่วไป เพราะสาเหตุหลักของโรคคือ เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องปากแล้วก่อโรคเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมนั่นเอง
สัญญาณอันตราย เมื่อโรคปริทันต์มาเยือน
- มีเลือดออกง่ายขณะแปรงฟัน
- เหงือกบวมแดง
- มีกลิ่นปาก
- เหงือกร่น
- ฟันโยก
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอาการไม่ว่าจะอย่างใด อย่างหนึ่งข้างต้น ควรมาพบทันตแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจรักษา หากทิ้งไว้นานอาจมีปัญหาฟันโยกถึงขั้น ต้องสูญเสียฟันได้

อาการของเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์
- เหงือกมีสีแดง บวม เหงือกไม่รัดแน่นคอฟันและเลือดออกง่าย (เหงือกปกติควรมีสีชมพูซีด รัดแน่นคอฟัน และแปรงฟันเลือดไม่ออก) อาจเห็นตัวฟัน
- ฟันยาวมากกว่าเดิมเพราะมีเหงือกร่น
- มีฟันโยก
- มีกลิ่นปาก
- มีอาการไม่สบายปาก ระคายเคืองเหงือก หรือมีอาการปวดรำคาญ
- หากเป็นมากมีร่องเหงือกลึก อาจมีหนองที่เหงือกเป็นๆ หายๆ ได้
สาเหตุของโรคปริทันต์อักเสบ
สาเหตุหลักของการเกิดโรคนี้คือ คราบจุลินทรีย์ที่มากับอาหารที่เรารับประทานและน้ำลาย เริ่มต้นจากการที่เราทำความสะอาดฟันไม่ดีพอ คราบอาหารตกค้างทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย ที่เราเรียกกันว่า แผ่นคราบ์ (Plaque) เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดความเสียหายของเนื้อเยื่ออาจทำให้เหงือกแยกออกจากฟัน ทำให้เกิดช่องว่างหรือ 'ร่อง' ขนาดเล็กที่เป็นที่สะสมคราบ และเกิดการติดเชื้อได้ เมื่อปัญหารุนแรงขึ้น กระดูกก็จะเริ่มกร่อนจนกลายเป็น หินน้ำลาย หรือ หินปูน เจ้าเชื้อแบคทีเรียจะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทำให้เกิด เหงือกอักเสบ บวมแดง มีเลือดออก และหากเป็นมาก อาจทำให้เกิดการทำลายอวัยวะ ย่อยเหงือกและกระดูกเบ้าฟันของเรา นอกจากนี้ยังมีสาเหตุรองที่ทำให้โรคลุกลามมากขึ้น เช่น โรคเบาหวาน การสูบบุหรี่ การตั้งครรภ์ เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเหงือกและปริทนต์อักเสบ
- การสูบบุหรี่ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง
- โรคเบาหวาน
- รับประทานยาบางชนืดเช่น ยาคุมกำเนิด ยาสเตอร์รอย ยากันชัก ยาปิดกั้นแคลเซี่ยม ยาเคมีบำบัด
- ฟันคุด
- การตั้งครรภ์
- โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ปัจจัยทางกรรมพันธ์
- การดัดฟันที่ไม่เข้าที่
- รอยอุดรั่ว
การป้องกันโรคปริทนต์
เนื่องจากสาเหตุหลักของโรคคือ เชื้อแบคทีเรียในช่องปากที่เกาะอยู่บนตัวฟัน ซึ่งจะสามารถเกาะได้แน่นขึ้น และก่อโรคได้ง่ายขึ้นหากมีหินปูนเป็นที่อยู่อาศัย เพราะฉนั้นวิธีการป้องกันโรคที่ดีที่สุดคือ
- การดูแลตัวเองที่บ้าน แปรงฟันให้สะอาด
- ใช้อุปกรณ์ในการทำความสะอาดที่เหมาะสมกับลักษณะช่องปากเพิ่มเติมจากแปรงสีฟัน เพราะแปรงสีฟันเพียงอย่างเดียว มีข้อจำกัดไม่สามารถเข้าถึงซอกฟัน หรือร่องเหงือกได้ จึงอาจพิจารณาใช้ไหมขัดฟัน หรือแปรงซอกฟันเพิ่มเติม
- ขูดหินปูนสม่ำเสมอ ตามช่วงเวลาที่ทันตแพทย์แนะนำใช้แปรงสีฟัน ไหมขัดฟัน
วิธีการรักษาโรคปริทนต
วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับความรุงแรงของโรค เมื่อเป็นโรคปริทันต์อักเสบ ซึ่งมีการละลายของกระดูกแล้ว ขั้นตอนการรักษาจะยุ่งยากขึ้น แบ่งได้เป็น 3 ช่วง คือ
1การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด
- การรักษาปริทันต์อักเสบวิธีแรก คือ การรักษาแบบดั้งเดิมโดยไม่ต้องรับการผ่าตัด คือการกำจัดคราบจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคนี้รวมทั้งกำจัดแหล่งอาศัยของเชื้อแบคทีเรีย ด้วยการขูดหินน้ำลาย
- การเกลารากฟันทั้งที่อยู่เหนือเหงือกและใต้ขอบเหงือก และสามารถใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อป้องกันความรู้สึกระคายเคืองต่างๆ จากนั้นทำให้รากฟันเรียบเพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียมารวมตัวกันอีก อาจต้องเข้ารับการตรวจมากกว่าหนึ่งครั้ง ได้ หลังจากขั้นตอนนี้ เหงือกจะได้รับการสมานและติดกลับเข้ากับพื้นผิวฟันที่สะอาดและแข็งแรงได้ ภายใน 2-3 สัปดาห์ ทันตแพทย์จะประเมินผลการรักษาเพื่อดูว่าจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติมหรือไม่ การรักษาโรคปริทันต์อักเสบ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการรักษาหลายครั้งจึงจะเสร็จทั้งปาก ขึ้นอยู่กับความลึกของร่องลึกปริทันต์ และปริมาณหินน้ำลายใต้เหงือก ในกรณีที่ร่องเหงือกลึก ๆ และฟันหลัง ที่มีหลายราก ซึ่งขั้นตอนนี้อาจจะต้องทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ภายหลังจากรักษาเสร็จแล้วประมาณ 4 - 6 สัปดาห์ ทันตแพทย์จะนัดกลับมาดูอาการอีกครั้ง ว่าหายดีหรือไม่ และถ้ายังมีร่องลึกปริทันต์เหลืออยู่เนื่องจากมีการละลายของกระดูกไปมาก อาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด ร่วมด้วย
- ยาที่ใช้ในการรักษาได้แก่ ยาบ้วนปาก ยาปฏิชีวนะ
2การผ่าตัดขั้นตอนการลดร่องลึกปริทันต์
ในรายที่ผู้ป่วยเป็นโรคในระดับที่รุนแรงมากขึ้น การรักษาช่วงต้นอาจจะยังไม่สามารถกำจัดคราบหินน้ำลายใต้เหงือกได้หมด จึงจำเป็นต้องทำการผ่าตัดเหงือกในบางบริเวณร่วมด้วย หลังจากการขูดหินปูนและการเกลารากฟันแล้ว แต่เนื้อเยื่อเหงือกไม่กระชับรอบๆ ตัวฟัน และคุณไม่สามารถรักษาความสะอาดบริเวณร่องลึกปริทันต์ได้
- ให้ลองพิจารณาการผ่าตัดลดร่องลึกปริทันต์หรือการผ่าตัดเหงือก การผ่าตัดเหงือกช่วยให้ทันตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านปริทันต์สามารถกำจัดแบคทีเรียที่ติดเชื้อและเกลารากฟันที่เสียหายให้เรียบ เพื่อช่วยให้เหงือกกลับมาติดผิวฟันได้ดีขึ้นในบางกรณีที่เหมาะสมอาจสามารถทำศัลยกรรมปลูกกระดูกทดแทนได้ด้วย
- การปลูกถ่ายเหงือก รากฟันที่ถูกเผยออกเนื่องจากเหงือกร่นสามารถแก้ไขได้ด้วยการปลูกถ่ายเหงือก โดยการนำเนื้อเยื่อจากเพดานปากหรือจากแหล่งอื่นเพื่อปิดรากของฟันหนึ่งซี่หรือมากกว่านั้นก็ได้ การปกปิดรากฟัน ช่วยลดอาการเสียวฟันและปกป้องรากฟันจากการผุ อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาเหงือกร่นตลอดถึงการสูญเสียฟันที่อาจเกิดขึ้นได้
- การปลูกถ่ายกระดูกเป็นวิธีการผ่าตัดที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกในบริเวณที่กระดูกถูกทำลายจากปัญหาปริทันต์ การรักษาประเภทนี้ ทันตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านปริทันต์จะเริ่มกำจัดแบคทีเรีย แล้วค่อยทำการวางกระดูกธรรมชาติหรือกระดูกสังเคราะห์ในบริเวณที่สูญเสียกระดูก
พร้อมกับโปรตีนกระตุ้นเนื้อเยื่อเพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างกระดูกและเนื้อเยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3การดูแลหลังรักษา
เนื่องจากสาเหตุของโรคปริทันต์อักเสบคือเชื้อโรคจากน้ำลายที่มาสะสมบนตัวฟัน แต่เนื่องจากสาเหตุของโรคนี้กลับมาสะสมใหม่ทุกวันเมื่อเราทานอาหาร ดังนั้นการป้องกันโรคคือการดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาดทุกวันด้วยการแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟันอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอดังนั้นแม้การรักษาจะเสร็จสิ้นแล้ว หากไม่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ โรคจะกลับเป็นใหม่ได้ง่าย ดังนั้นหลังจากการรักษาแล้วผู้ป่วยควรได้รับการขูดหินน้ำลายเพื่อป้องกันการกลับเป็นใหม่ของโรค โดยมากผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคปริทันต์อักเสบแล้วควรได้รับการขูดหินน้ำลายทุก ๆ 3 – 6 เดือน
การดูและฟัน | คราบหินปูน | สาเหตุโรคเหงือก | สุขอนามัยช่องปาก | โรคเหงือกอักเสบ | โรคในช่องปาก | โรคเหงือก | เหงือกร่น | ปริทนต์อักเสบ | โรคเหงือกกับหัวใจ | ปากแห้ง | ฟันผุ | การแปรงฟัน | กลิ่นปาก