การตรวจเลือด Clotting time
การตรวจเลือด Clotting time เป็นการตรวจหาระยะเวลาตั้งแต่เจาะเลือดออกมาจนกระทั่งเลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือด ส่วนประกอบของเลือด
ประมาณร้อยละ 60 ของเลือดของคนเราประกอบไปด้วน น้ำเหลือง (plasma) ซึ่งประกอบไปด้วยฮอร์โมน ภูมิคุ้มกัน เอนไซม์ น้ำตาล โปรตีน ไขมัน น้ำ ส่วนร้อยละ 40 ที่เหลือประกอบไปด้วย เม็ดเลือดซึ่งได้แก่
ลิ่มเลือดเกิดขึ้นได้อย่างไร
เมื่อเกิดแผลและมีเลือดออก หลอดเลือดจะตอบสนองโดยการหดตัวทำให้เลือดออกน้อยลง เมื่อเลือดสัมผัสกับเนื้อเยื่อซึ่งจะมี tissue factor จะกระตุ้นทำให้เกล็ดเลือดมาเกาะกลุ่ม และหลั่งสารเคมีอีกหลายชนิดทำให้เกล็ดเลือดมายังบริเวณนี้มากขึ้น และเกิดการแข็งตัวเกิดลิ่มเลือด แต่ลิ่มเลือดที่เกิดยังไม่แข็งแรง จะกระตุ้น Thrombin ทำให้เปลี่ยน Fibrinogen เป็น Fibrin ซึ่งจะทำให้ลิ่มเลือดแข็งแรง และมีขบวนการละลายลิ่มเลือดเพื่อเกิดความสมดุลระหว่าการแข็งตัวของเลือดและการละลายลิ่มเลือด
วิธีการตรวจ
กรรมวิธีในการทดสอบ ก็กระทำคล้ายคลึงกับการใช้เลือดทั่วไป ด้วยการดูดจากหลอดเลือดดำ (เหมือนการตรวจผลเลือดอย่างอื่น) โดยนำเลือดใส่ลงในหลอดเอดที่หล่อน้ำไว้ด้วยอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิร่างกาย คือ 98.6 องศาฟาเรนไฮต์ (37 องศาเซนติเกรด) ก่อนที่จะรีบนำส่งห้องปฏิบัติการ
เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ (laboratory) จะเอียงคว่ำหลอดเลือดกลับไปกลับมาทุก ๆ 30 วินาที จนกว่าเลือดจะหมดสภาพจากการเป็นของเหลว ทั้งนี้ โดยการเริ่มต้นจับเวลาจนกว่าเลือดจะแข็งตัว และจะจับเวลาอีกครั้ง นับตั้งแต่เลือดแข็งตัวไปจนกว่าจะยุบตัวลงประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ (เห็นได้จากข้างหลอดแก้ว)
ค่าปกติของ Clotting Time
5 – 8 min
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้แก่
ภาวะที่มีเลือดออกง่าย
- เกล็ดเลือดต่ำ
- โรคฮีโมฟีเลีย(โรคทางพันธุกรรม)ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย
- ขาดวิตามินเค
- โรคตับ
ภาวะที่เลือดแข็งตัวง่าย
- ลิ่มเลือดที่ขาหรือที่เรียกว่าโรคชั้นประหยัด
- โรคทางพันธุกรรมที่เลือดแข็งตัวง่าย
- ยาบางชนิดที่ทำให้เลือดแข็งตัวง่าย
- โรคตับบางชนิดที่ทำให้ขบวนการละลายลิ่มเลือดเสียไป
แพทย์จะสั่งตรวจเมื่อไร
- เมื่อมีอาการเลือดไหลหยุดยาก หรือมีจ้ำเขียว
- เป็นโรคตับ
- ตรวจก่อนผ่าตัดเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อเลือดออกง่าย
- มีภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือด
- รับประทานยาละลายลิ่มเลือด
การตรวจอื่นที่มักจะตรวจร่วมกัน