การนับเกล็ดเลือด Platelet count


เกล็ดเลือด Platelet หรือ thrombocyte มีต้นกำเนิดมาจากไขกระดูกเช่นเดียวกับเซลล์เม็ดเลือดชนิดอื่น ขณะเมื่อยังเป็นวัยรุ่นจะถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า megakaryocyte ซึ่งควรอยู่แต่ในไขกระดูก เกล็ดเลือดเมื่อโตเต็มที่และออกมาสู่หลอดเลือดแล้ว จะมีรูปร่างเป็นแผ่นกลมหรือรี มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-4 ไมครอนมีขนาดประมาณร้อยละ 20ของขนาดเม็ดเลือดแดง (แต่ขนาดเม็ดเลือดแดงประมาณ 6.7 ไมครอน) นับว่ามีขนาดประมาณครึ่งของเม็ดเลือดแดงเท่านั้น เกล็ดเลือดจะไหลวนเวียนในกระแสเลือด โดยมีอายุขัยประมาณ 9-11 วัน ภายหลังจากนั้นกล็ดเลือดรุ่นเก่าก็จะถูกทำลายส่วนใหญ่โดยม้ามและส่วนน้อยโดยตับ ในการตรวจเกล็ดเลือดจะต้องตรวจ ขนาด รูปร่าง ปริมาณ และการเกาะตัวของเกล็ดเลือด

ค่าปกติของเกล็ดเลือด

  • 100,000- 400,000/ต่อเลือด 1 mm3
  • เกล็ดเลือดโดยทั่วไปจะมีอายุขัยในเลือดประมาณ 10 วัน
  • ค่าผิดปกติที่ถือว่าวิกฤติ < 50,000/ หรือ > 1 ล้าน/

หน้าที่ของเกล็ดเลือด

  • เมื่อเกิดบาดแผล จะช่วยให้เลือดที่ไหลออกมาเกิดการแข็งตัว อันเป็นการห้ามเลือดมิให้ไหลพ้นออกนอกร่างกายมากเกินไป
  • มีหน้าที่กลืนกินสิ่งแปลกปลอม เช่น ไวรัสบางชนิด
  • มีหน้าที่เก็บสะสมสารชีวเคมีบางอย่าง เช่น ฮอร์โมน epinephrine, serotonin และเอนไซม์บางชนิด

ค่าผิดปกติ

เกล็ดเลือดต่ำ thrombocytopenia ย่อมทำให้เมื่อเกิดบาดแผล เลือดอาจจะหยุดช้ากว่าปกติสาเหตุ

  • อาจเกิดสภาวะม้ามโตกว่าปกติHypersplenism จึงดักจับเก็บทำลายเกล็ดเลือดมากผิดปกติ
  • อาจเกิดการเสียเลือด ณ จุดหนึ่งจุดใดของร่างกาย
  • อาจมีการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีเคโม หรือวิธีเคมีบำบัด (cancer chemotherapy) ย่อมมีผลเสียหายทำลายต่อไขกระดูก ซึ่งมีบทบาทในการผลิตเกล็ดเลือด
  • ยาบางชนิดทำให้เกล็ดเลือดต่ำ
  • ภาวะ Disseminated intravascular coagulation (DIC)
  • เม็ดเลือดแดงแตกก่อนวัย Hemolytic anemia
  • Idiopathic thrombocytopenic purpura (ITP)
  • มะเร็งเม็ดเลือด Leukemia
  • การให้เลือดมาก Massive blood transfusion
  • ผู้ที่ใส่ลิ้นหัวใจเทียม Prosthetic heart valve
  • Thombotic thrombocytopenic purpura (TTP)
  • Celiac disease
  • ขาดวิตามินเค Vitamin K deficiency

เกล็ดเลือดสูง

  • อาจเกิดโรคมะเร็งเกี่ยวกับไขกระดูก เช่น leukemia, lymphoma
  • อาจเกิดโรคภาวะเม็ดเลือดแดงมาก ทำให้เกล็ดเลือดต้องพลอยมากไปด้วย
  • อาจขาดธาตุเหล็ก ทำให้ไขกระดูกต้องเร่งผลิตเม็ดเลือดแดง เพื่อให้การจับออกซิเจนของเลือด มีความเพียงพอ แม้เกล็ดเลือดจะมิได้ใช้เหล็กเป็นองค์ประกอบสำคัญ แต่เกล็ดเลือดก็ต้องพลอยถูกผลิตออกมาตามเม็ดเลือดแดงไปด้วย
  • โลหิตจาง
  • โรคมะเร็งเม็ดเลือดChronic myelogenous leukemia (CML)
  • โรค Polycythemia vera
  • Primary thrombocythemia
  • Recent spleen removal

กลไกการห้ามเลือดของเกล็ดเลือด

ในภาวะปกติ เกล็ดเลือดจะไม่เกาะกับผนังหลอดเลือดหรือเกาะกันเอง แต่เมื่อมีการฉีกขาดของหลอดเลือด บริเวณนั้นจะไม่มีเซลล์เอนโดทีเลียมที่จะยับยั้งกระบวนการสร้างลิ่มเลือด รวมทั้งเกิด exposure ของ subendothelial layer กับเลือด ทําให้เกล็ดเลือดเริ่มเข้ามายึดเกาะบริเวณดังกล่าว นําไปสู่การกระตุ้นและการเกาะกลุ่ม ของเกล็ดเลือดเป็น platelet plug ทําหน้าที่อุดบริเวณที่มีการฉีกขาด ทําให้เกิดการห้ามเลือดขึ้นในระยะแรก โดยกลไก การเกิด platelet plug สามารถแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน

  1. Platelet adhesion เป็นขั้นตอนที่เกล็ดเลือดจะเข้ามายึดเกาะกับชั้นผนังหลอดเลือด subendothelial ของหลอดเลือดที่จะถูก เปิดเผยขึ้นมาสัมผัสกับเลือดเมื่อมีการฉีกขาด เพื่อทําหน้าที่ในการห้ามเลือด ขั้นตอนนี้จะเกิดขึ้นในระยะแรกและมีสําคัญ มากสําหรับการทําหน้าที่ห้ามเลือดของเกล็ดเลือดโดยเฉพาะในหลอดเลือดแดง ซึ่งมีการไหลของเลือดสูง โดย platelet adhesion จะเกิดข้ึนผ่านทางปฏิกริยาเคมีทำให้มีการยึดเกาะของโปรตีน คอลลาเจน และเกล็ดเลือดกับผนังหลอดเลือดที่ฉีกขาด
  2. Platelet activation เป็นขั้นตอนที่เกล็ดเลือดปกติจะถูกกระตุ้นทำให้อยู่ในรูปที่ ทําหน้าที่ในการห้ามเลือดโดย เกิดการเปลี่ยนรูปร่างของเกล็ดเลือดจากปกติที่มีรูปจานกลมไปเป็นเซลล์ที่มีหนวดยื่น projection ยื่นออกไปที่ เรียกว่า pseudopod ทําให้พื้นที่ผิวของเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น การเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดจึงดีขึ้น นอกจากนั้นยังมีการหลั่งของสารเคมี และกระบวนการสังเคราะห์สารห้ามเลือด
  1. Platelet aggregation เป็นกระบวนการที่เกล็ดเลือดเกาะกลุ่ม platelet plug มาอุดบริเวณที่มีการฉีกขาดของหลอดเลือดซึ่งเป็นหน้าที่ของเกล็ดเลือดในการห้ามเลือด primary hemostasis ที่จะเกิดขึ้นภายในเวลาเป็นวินาทีเมื่อมีการเสียหายของหลอดเลือด กระบวนการนี้มีความสําคัญในการห้าม เลือดโดยเฉพาะในหลอดเลือดขนาดเล็ก เช่น capillary, small arteriole และ venule

กระบวนดังกล่าวจะได้ผลในกรณีที่เกิดกับหลอดเลือดเล็กหรือแผลเล็ก แต่หากหลอดเลือดใหญ่ หรือแผลขนาดใหญ่จะต้องมีกระบวนการห้ามเลือดอื่นร่วมด้วย

Hemoglobin | Hematocrit | Red blood cell | Inclusion body | เม็ดเลือดแดง | Reticulocyte count | MCV | MCHC | MCH | ลักษณะเม็ดเลือดแดง | เกล็ดเลือด | เม็ดเลือดขาว | Neutrophil | Lymphocyte | Eosinophil | Monocyte | Basophil | Rh | กรุปเลือด