แอนแทรกซ์คืออะไร 

ข้อมูลจากกองควบคุมโรคติดต่อ

 

โรคแอนแทรกซ์เป็นโรคที่พบมานานมักจะเกิดโรคในสัตว์ ไม่ค่อยพบในคน ประเทศไทยก็มีการระบาดของโรคแอนแทรกซ์เป็นระยะ มักจะเกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ตายจากโรคแอนแทรกซ์และปรุงไม่สุก แต่การพัฒนาเป็นอาวุธชีวภาพได้ทำกันมานาน 80 ปี ขณะนี้เชื่อว่าอย่างน้อย 17 ประเทศมีอาวุธนี้การจะพัฒนาเป็นอาวุธจะใช้ความรู้ชั้นสูงเกี่ยวกับทางชีวภาพ เคยมีหลักฐานถึงการแพร่เชื้อแอนแทรกซ์และ botulism ที่ญี่ปุ่นทั้งหมด 8 ครั้งแต่ไม่สามารถทำให้เกิดโรค

เคยเกิดการแพร่เชื้อแอนแทรกซ์ที่ประเทศ Sverdlovsk ในปี 1979 พบว่ามีการติดเชื้อ 79 รายเสียชีวิตไป 68 รายแสดงให้เห็นถึงอันตรายของเชื้อชนิดนี้ การแพร่spore ของแอนแทรกซ์จะไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า spore สามารถเคลื่อนไปได้ไกลหลายกิโลเมตร และการอยู่ในบ้านก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อชนิดนี้ และปัจจุบันก็ยังไม่มีเครื่องมือในการเตือนการระบาด

เคยมีการประเมินว่าหากมีการแพร่เชื้อจำนวน 50 กิโลกรับในชุมชนที่มีคน 5 ล้านคนพบว่าจะมีคนเสียชีวิต 250,000 คน โดยที่จะเสียชีวิต 100,000 คนโดยที่ไม่ได้รับการรักษา

การระบาดโรคแอนแทรกซ์

โดยธรรมชาติเชื้อนี้จะพบการระบาดในสัตว์กินพืชเนื่องจากจะกิน spore ที่อยู่บนหญ้า หรืออาจจะเกิดการระบาดจาการกินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อปน

เชื้อนี้มีชื่อเรียกว่า Bacillus anthracis เป็นเชื้อที่ใช้ oxygen ย้อมติดสีน้ำเงิน สามารถสร้างspore ไม่เคลื่อนไหว

เมื่อ spore เข้าสู่ร่างกายคนหรือสัตว์ที่มีอาหารเชื้อก็จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การที่เชื้อจะก่อให้เกิดโรคในคนจะต้องประกอบด้วยปัจจัยสองประการคือ

  1. ต้องมี Capsule ที่ป้องการการทำลายของเม็ดเลือดขาว
  2. จะต้องมีสารพิษ(toxin) 3 ชนิด protective antigen, lethal factor, และ edema factor  สำหรับตัวเชื้อไม่สามารถเจริญในสิ่งแวดล้อม ส่วน spore สามารถคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้เป็นเวลานานหลายปี

การเกิดโรคแอนแทรกซ์ในคน

เชื้อนี้สามารถทำให้เกิดโรคในคนได้ 3 รูปแบบ

  1. การติดต่อโดยการหายใจ Inhalational Anthrax spore มีขนาด 1 ถึง 5 µm จะผ่านเข้าไปในถุงลมของปอด alveoli เชื้อบางส่วนจะถูกทำลายโดยเม็ดเลือดขาว เชื้อบางส่วนจะเล็ดรอดไปยังต่อมน้ำเหลืองและเริ่มแบ่งตัวระยะเวลาเกิดอาการตั้งแต่รับเชื้อประมาณ 2-43 วันในสัตว์ทดลองจะเกิดอาการหลังได้รับเชื้อ 58-98 วันปริมาณ spore ที่อาจจะทำให้เสียชีวิตคือ 2500-55000 spores อาการของโรคแบ่งเป็นสองระยะ ในระยะเริ่มแรกอาการจะอาการเหมือนหวัดทั่วๆไปกล่าวคือจะมีอาการ มีไข้ หายใจลำบาก ปวดศีรษะ อาเจียน หนาวสั่น อ่อนเพลีย ปวดท้อง เจ็บหน้าอก การตรวจร่างกายและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์ไม่ช่วยการวินิจฉัยระยะนี้อาจจะอยู่ช่วงสั้นๆ ระยะที่สองผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงทันทีหายใจลำบาก เหงื่อออก ความดันโลหิตต่ำ ต่อมน้ำเหลืองจะโตทั่วๆไป x-ray ปอดจะมีลักษณะทีสำคัญคือช่องกลางหน้าอกกว้างดังรูป นอกจากนั้นผู้ป่วยครึ่งหนึ่งจะเลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง ผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตในไม่กี่ชั่วโมง โดยรวมตั้งแต่เริ่มมีอาการจนกระทั่งเสียชีวิตจะเวลา 3 วัน
  2. แอนแทรกซ์ที่ผิวหนัง Cutaneous Anthrax เกิดจากการที่ผิวหนังที่มีแผลได้รับเชื้อ ผิวหนังบริเวณที่มักจะได้รับเชื้อ ได้แก่บริเวณ แขน มือ หน้า คอ เริ่มต้นเป็นผื่นแดงนูน คัน วันที่สองจะแตกเป็นแผล หลังจากนั้นจะมีตุ่มน้ำใสแตกออก และเกิดแผลลึกก้นแผลดำไม่เจ็บมีอาการบวมรอบแผลแผลจะหายใน 1-2 สัปดาห์ ต่อมน้ำเหลืองมีการอักเสบร่วมด้วย หากได้รักษาด้วยยาปฏิชีวนะจะมีอัตราการตายต่ำ
  3. แอนแทรกซ์ระบบทางเดินอาหาร Gastrointestinal Anthrax เกิดจากที่ได้รับ spore เข้าทางเดินอาหาร หากเกิดโรคบริเวณที่คอก็จะเกิดแผลในคอร่วมกับต่อมน้ำเหลืองรอบคอโต บวม และอาการโลหิตเป็นพิษ(sepsis) หากเชื้อไปทำให้เกิดโรคที่ลำไส้เล็กจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ครั้นเนื้อครั้นตัว ถ่ายอุจาระเป็นเลือดและเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษอัตราการตายจะสูงแม้ว่าจะให้การรักษาอย่างเร็วแล้วก็ตาม
ant-cxr.jpg (25542 bytes)

แอนแทรกซ์ที่เกิดจากการหายใจ

ant-ulcer.jpg  width=

แอนแทรกซ์ที่ผิวหนัง

anthrax2.jpg

การวินิจฉัยโรคแอนแทรกซ์ 

การวินิจฉัยจะค่อนข้างยากเนื่องจากไม่ใคร่ได้พบโรคนี้ ให้สงสัยในกรณีที่มีกลุ่มคนไข้ที่มีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่แล้วเสียชีวิตอย่างรวดเร็วในเวลา 24-48 ชั่วโมงเป็นจำนวนมาก

การวินิจฉัยผู้ป่วยแอนแทรกซ์ทางระบบหายใจให้สงสัยในรายที่มีอาการดังกล่าวร่วมกับภาพถ่ายรังสีทรวงอกดังรูป การตรวจเสมหะมักจะไม่พบเชื้อ การตรวจทางโลหิตหากนำเลือดไปปั่นแล้วย้อมก็อาจจะพบเชื้อในเลือด จะทำให้วินิจฉัยได้เร็วยิ่งขึ้นและให้การรักษาได้เร็วยิ่งขึ้น การเพาะเชื้อจากเลือดใช้เวลา 2-3 วันอาจจะไม่ทันการณ์ หากมีแผลที่ผิวหนังก็สามารถขูดที่ก้นแผลแล้วไปย้อมก็สามารถพบเชื้อได้เหมือนกัน

ภาพแสดงการย้อมเชื้อจากเลือด

 การรักษาโรคแอนแทรกซ์

  1. ผู้ป่วยที่เป็นแอนแทรกซ์ระบบทางเดินหายใจ ยังไม่มีหลักฐานว่าการใช้ยากลุ่มไหนจะได้ผลดี โดยเชื้อที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเชื้อจะไวต่อยา penicillin ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้เป็นลำดับแรก นอกจากนี้ยา Doxycyclin และ Ciprofloxacin ก็แนะนำให้ใช้ นอกจากนั้นหลังจากให้ยาฉีดจนหายดีแล้วยังแนะนำต้องให้ยารับประทานอีก 60 วันเพราะว่าการติดเชื้อนี้จะไม่มีการสร้างภูมิคุ้มกัน การให้ยาอีก 602 วันเพื่อป้องกัน spore ที่เจริญช้า หากได้รับการฉีดวัคซีนก็สามารถลดระยะเวลาที่ให้ยาปฏิชีวนะลงเหลือ 30-45 วัน
  2. ผู้ที่เป็นแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังให้ยารับประทานเช่น Amoxycillin ,Docycyclin, Ciprofloxacin นาน 7-10 วัน
การรักษาเบื้องต้น การรักษาหลังจากทราบผลเพาะเชื้อ ระยะเวลารักษา(วัน)
ผู้ใหญ่ Ciprofloxacin,400 mg ให้ทางเส้นเลือดทุก 12 ชั่วโมง Penicillin G 4 ล้าน u ให้เข้าหลอดเลือดทุก 4 ชม

Doxycyclin 100 mg ให้เข้หลอดเลือดทุก 12 ชม

60
เด็ก Ciprofloxacin 20-30 mg/kg แบ่งให้วันละ 2 ครั้งไม่เกิน 1 กรัม/วัน อายุ<12ให้ penicillin G 5 แสนยูนิต/kg ทุก 6 ชั่วโมง

อายุ>12 ให้ 4 ล้านu m6d 4 ชม

60
คนท้อง เหมือนผู้ใหญ่
คนที่มีภูมิคุ้มกัน บกพร่อง เหมือนผู้ใหญ่

 การป้องกันหลังสัมผัสโรคแอนแทรกซ์

ยังไม่ได้กำหนอแนวทางชัดเจน การกำหนดต้องคำนึงถึง สถานที่ สภาพอากาศจำนวนคนที่ติดเชื้อ หากพิจารณาแล้วว่าต้องให้ยาปฏิชีวนะก็พิจารณาให้ยากลุ่มดังกล่าวมาแล้วโดยต้องให้ยานาน 60 วัน

การรักษาเริ่มต้น การรักษาหลังจากทราบผลเพาะเชื้อ ระยะเวลารักษา
ผู้ใหญ่ Ciprofloxacin 500 mg วันละ 2 ครั้ง Amoxicillin 500 mg วันละ 3 ครั้งหรือ Doxycyclin 100 mg วันละ 2 ครั้ง 60
เด็ก Ciprofloxacin 20-30 mg/kg /day วันละ 2ครั้ง น้ำหนัก<20 kg ให้Amoxycillin 40 mg/kg วันละ 3 ครั้ง น้ำหนัก>20 kg ให้Amoxycillin 500 mg วันละ 3 ครั้ง 60
คนท้อง Ciprofloxacin 500 mg วันละ 2 ครั้ง Amoxicillin 500 mg วันละ 3 ครั้งหรือ  
คนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เหมือนผู้ใหญ่

 การให้วัคซีน

ได้มีการผลิตวัคซีนตั้งแต่ปี 1970 โดยใช้การฉีดทั้งหมด 6 เข็มโดยให้ 3 เข็มห่างกันเข็มละ 2 สัปดาห์หลังจากนั้นกระตุ้นที่ 6 12 และ 18 เดือนมีการทดลองในลิงพบว่าการฉีด 2 เข็มก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันโดยฉีดห่างกันสองสัปดาห์ องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐแนะนำให้ฉีดในกลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเช่นผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับขนสัตว์ ปสุสัตว์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการณ์ และช่วงที่มีการใช้แอนแทรกซ์เป็นอาวุธสงครามโดยต้องร่วมกับการรับประทานยา

การให้ยาในเด็ก

หากมีการระบาดของเชื้อแอนแทรกซ์แนะนำให้ใช้ยา Ciprofloxacin เป็นยาชนิดแรกจนกระทั่งทราบผลการทดสอบว่าเชื้อไวต่อยา penicillinจึงพิจารณาเปลี่ยนเป็นยา penicillin ทั้งนี้เนื่องจากยา ciprofloxacin อาจจะก่อให้เกิดปัญหาโรคข้อในตอนโต ยาตัวที่สามคือ doxycyclin จะให้ในเด็กที่มีอายุมากกว่า 9 ปีเนื่องจากหากให้ในอายุน้อยกว่านี้จะทำให้กระดูกไม่เจริญ

การให้ยาในคนท้อง

แนะนำให้ยา ciprofloxacin แก่คนท้อง ทันที่ที่ทราบผลการเจาะเชื้อว่าเชื้อไวต่อ penicillin ก็รีบเปลี่ยนเป็น penicillin เนื่องจากมีรายงานผลถึงผลเสียในการให้กับคนท้อง ยาตัวที่สามคือ doxycyclin ต้องให้ด้วยความระวังและต้องเจาะเลือดติดตามการทำงานของตับ

การควบคุมการติดเชื้อโรคแอนแทรกซ์

เชื้อนี้ไม่สามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแยกผู้ป่วย ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนหรือรับประทานยาป้องกัน นอกเสียจากว่าสงสัยว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกันและกลัวว่าจะได้ spore ของเชื้อ

เมื่อผู้ป่วยเสียชีวิตลง ต้องระวังการแพร่เชื้อจากศพ ต้องฝั่งหรือเผา การดองศพอาจจะเป็นแหล่งให้แพร่เชื้อ การทำลายเชื้อหรือ spore สามารถทำได้หลายวิธีคือ ต้มที่ 100 องศาเป็นเวลา 30 นาที หรือการเผา หรือการอบไอน้ำ steam sterilization การใช้สาร 0.05% hypochlorite solution (1 tbsp. bleach per gallon of water).ทำความสะอาด

โรคแอนแทรกซ์ | โรคแอนแทรกซ์ซ์2 | การป้องกัน | การรักษา

เพิ่มเพื่อน