โรคปวดข้อรูมาตอยด์  Rheumatoid Arthritis

โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเด่นคือ มีการเจริญงอกงามของเยื่อบุข้ออย่างมาก เยื่อบุข้อนี้จะลุกลามและทำลายกระดูกและข้อในที่สุด โรคนี้มิได้เป็นแต่เฉพาะข้อเท่านั้น ยังอาจมีอาการทางระบบอื่น ๆ อีก เช่น ตา ประสาท กล้ามเนื้อ เป็นต้น

พยาธิสภาพ

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อักเสบคืออะไร

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) เป็นโรคข้ออักเสบที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายข้อตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบของข้อ เนื้อเยื่อรอบข้อ อาการที่สำคัญคือปวดข้อและอาการนอกข้ออ่านรายละเอียดที่นี่

จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าโรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 0.5-1.5 ของประชากร สำหรับในประเทศไทยนั้นจากการศึกษาของพรชิตา ชัยอำนวย และคณะพบความชุกของโรคนี้ร้อยละ 0.12 ถึงแม้ว่าโรคนี้จะมีความชุกค่อนข้างต่ำ แต่โรคนี้ก็เป็นโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อยที่สุดในบรรดากลุ่มโรคข้ออักเสบชนิดไม่ทราบสาเหตุ อุบัติการณ์ของโรคนี้สูงขึ้นตามอายุ และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 75 ปี แต่อุบัติการณ์ในเพศชายจะใกล้เคียงกับเพศหญิงในผู้ป่วยที่เริ่มเป็นเมื่ออายุมากกว่า 75 ปี



สาเหตุ

สาเหตุยังไม่ทราบแต่เชื่อว่าเป็นโรค Autoimmune หมายถึงมีความผิดปรกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำลายข้อตัวเอง นอกจากนั้นยังพบว่า กรรมพันธ์ ฮอร์โมน บุหรี่ การติดเชื้อเป็นตัวกระตุ้นทำให้โรคกำเริบ

อ่านรายละเอียดที่นี่


อาการของข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นอย่างไร

อาการที่พบบ่อยได้แก่

  • ปวดข้อ ข้อบวม
  • ข้อติด
  • อ่อนเพลีย ซึมเศร้า
  • ซีด
  • อาการเหมือนไข้หวัด ไม่สบายตัว

อาการอื่นๆที่พบได้

  • น้ำหนักลด
  • ตาอักเสบ
  • rheumatoid nodules
  • อักเสบของอวัยวะระบบอื่น

อ่านรายละเอียดที่นี่


การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

การตรวจทางห้องปฏิบัติการจะเป็นการตรวจเลือด และการตรวจทางรังสี การตรวจเลือดแบ่งเป็น

  • การตรวจว่ามีการอักเสบหรือไม่ESR
  • การตรวจหาว่ามีภูมิหรือไม่
  • การเจาะเอาน้ำในข้อเข่าไปตรวจ
  • การตรวจเลือด CBC

การตรวจทางรังสี

อ่านรายละเอียดที่นี่


การวินิจฉัย

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคนี้แบ่งออกเป็น 4 หมวดประกอบด้วย

  1. จำนวนและตำแหน่งของข้อที่มีการอักเสบ(synovitis) (0-5 คะแนน)
  2. การตรวจพบrheumatoid factor หรือ ACPA ในเลือด (0-3 คะแนน)
  3. ระยะเวลาที่มีข้ออักเสบ (0-1 คะแนน) และ
  4. ค่าacute phase reactants ที่สูงขึ้น (0-1 คะแนน)

รวบรวมคะแนนหากมากกว่า 6 คะแนนจะช่วยวินิจฉัย

อ่านรายละเอียดที่นี่


การรักษา

การรักษา

การรักษาทั่วไป

  • การพักผ่อนและการบริหารร่างกาย มีส่วนสำคัญมากในการรักษาผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ การพักผ่อนจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ไม่มีอาการอ่อนเพลีย แต่การพักที่นานเกินไปจะทำให้ข้อฝืดขัด ดังนั้นการพักผ่อนจะต้องสมดุลย์กับการบริหารร่างกาย การบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอไม่ติดขัด และช่วยให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้
  • การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ป่วยควรเรียนรู้ และหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่อาจส่งเสริมให้ข้อถูกทำลายเร็วขึ้น เช่น การนั่งพับเข่าในกรณีที่มีข้อเข่าอักเสบ หรือการบิดข้อมือในกรณีที่มีข้อมืออักเสบ การรู้จักใช้กายอุปกรณ์บางอย่าง เช่น ไม้เท้า เครื่องช่วยเดิน จะช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวคล่องขึ้นและหลีกเลี่ยงแรงที่กระทำต่อข้อได้

การรักษาด้วยยา

การรักษาด้วยยาแบ่งงอกเป็น

  • ยาแก้ปวด
  • ยากลุ่ม NSAID
  • ยากลุ่ม disease-modifying anti-rheumatic drugs (DMARDs)
  • ยาsteroid

การใช้ยา ในปัจจุบันมียามากมายที่ใช้ในการควบคุมและรักษาโรครูมาตอยด์ให้ได้ผลดี ยาเหล่านี้ได้แก่ยาแอสไพรินและยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ ผู้ป่วยแต่ละรายจะตอบสนองต่อยาเหล่านี้แตกต่างกันออกไป ยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงทางด้านระบบทางเดินอาหารและระบบไตได้ ในรายที่เป็นรุนแรง มีอาการมากและข้อถูกทำลายมาก แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่ายาระดับที่ 2 ซึ่งได้แก่ ยาต้านมาลาเรีย ยาทองคำ ยาเมทโธเทรกเซท ยาซัลฟาซาลาซีน เป็นต้น ยาเหล่านี้ไม่มีฤทธิ์ในการระงับการเจ็บปวด แต่จะช่วยระงับการลุกลามของโรคได้ แต่เนื่องจากยาเหล่านี้มีผลข้างเคียงที่รุนแรงจึงควรใช้ในรายที่มีอาการรุนแรงและใช้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น อนึ่ง ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นยาที่มีผู้นำเอามาใช้ในการรักษาโรครูมาตอยด์เป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากยานี้มีคุณสมบัติในการระงับการอักเสบของข้อได้ แต่จากการศึกษาในระยะหลัง ๆ พบว่ายาชนิดนี้ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงการดำเนินของโรคเลย แต่เมื่อใช้ยานี้ไปนาน ๆ ผู้ป่วยจะติดยาและไม่สามารถเลิกยาได้ พร้อมทั้งเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาชนิดนี้มากมาย เช่น อ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ตาเป็นต้อกระจก กล้ามเนื้ออ่อนแรง และกระดูกผุ เป็นต้น จึงไม่ควรเป็นอย่างยิ่งในการนำยานี้มาใช้รักษาผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ ยกเว้นในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่สามารถรักษาด้วยยาชนิดอื่นแล้ว และควรดูแลควบคุมด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

การผ่าตัด

การผ่าตัด จะมีบทบาทในการรักษาโรครูมาตอยด์ในกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมากแล้ว หรือกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เอ็นขาด เป็นต้น การผ่าตัดซ่อมแซมหรือเปลี่ยนข้อจะช่วยให้ข้อทำงานได้ดีขึ้น

รายละเอียดอ่านที่นี่


ผลของโรครูมาตอยด์

เมื่อเป็นโรครูมาตอยด์จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เมื่อเป็นโรครูมาตอยด์ เยื่อบุข้อจะมีการเจริญงอกงามและมีการหนาตัว จากนั้นจะลุกลามทำลายกระดูกและข้อในที่สุด ในระยะแรกผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดตามข้อ มีอาการฝืดขัดข้อเป็นเวลานานในตอนเช้า เมื่อมีอาการชัดเจนข้อจะมีการบวม ร้อน และปวด โรคนี้สามารถเป็นได้กับทุกข้อของร่างกาย แต่ที่พบได้บ่อยคือข้อของนิ้วมือ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อเท้า และข้อนิ้วเท้า อาการของข้ออักเสบจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงแบบเฉียบพลันได้ บางรายอาจมีไข้ เบื่ออาหาร และน้ำหนักลดร่วมด้วยได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการทางระบบตา ปอด และมีปุ่มขึ้นตามตัวได

ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ในระยะยาวจะเป็นเช่นไร

  • 75% ของผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อเล็กน้อย อาจจะมีบวมเป็นๆหายๆ
  • 20%จะมีอาการข้ออักเสบแบบอ่อนๆ
  • 5% จะมีข้อผิดรูปและมีอาการรุนแรง

รายละเอียดอ่านที่นี่