การรับประทานอาหารสำหรับโรคไตเสื่อม

  1. โรคไตเสอม
  2. อาการโรคไตเสื่อม
  3. การวินิจฉัยโรคไตเสื่อม
  4. การแบ่งระดับความรุนแรงของโรคไตเสื่อม
  5. การักษาไตเสื่อม
  6. การป้องกันไตเสื่อม
  7. การรับประทานอาหารเพื่อป้องกันไตเสื่อม
  8. การออกกำลังกายสำหรับไตเสื่อม

 

ความสำคัญของการควบคุมอาหาร

เมื่อไตเสื่อมหรือทำงานลดลงการรับประทานอาหารในปริมาณที่มากย่อมเกิดของเสียมากซึ่งจะทำให้ไตทำงานเพิ่มขึ้น ไตที่เสื่อมอยู่แล้วก็จะเสื่อมเร็วขึ้น นอกจากปริมาณอาหารยังต้องคำนึงถึงสารประกอบในอาหารด้วย การชลอการเสื่อมของไตโดยการควบคุมอาหารจะช่วยให้ ลดการคั่งของของเสียที่เกิดจากการรับประทานอาหาร ลดภาระการทำงานของไตในการขับถ่ายของเสีย ทำให้ไตส่วนที่เหลืออยู่ไม่ต้องทำงานหนักเกินตัว ชะลอการเสื่อมของไต ป้องกันภาวะขาดสารอาหาร ช่วยให้มีสุขภาพดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

อาหารผู้ป่วยโรคไตเสื่อม

การเลือกทานอาหารให้ถูกต้อง และเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายจะป้องกันมิให้ไตเสื่อมเร็ว

  1. โปรตีนเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ผู้ป่วยโรคไตก็ยังต้องรับประทานอาหารที่ให้โปรตีน แต่ควรจำกัดปริมาณอาหารที่มีโปรตีนสูงทั้งจากพืชและเนื้อสัตว์ไม่ให้มากเกินไป เพื่อเป็นการลดการทำงานของไต ควรเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูปที่มีการปรุงรส ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตในระยะ 1-2 รับประทานโปรตีนได้ปกติ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ควรเน้นปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อกไก่ และถ้าเป็นโรคไตระยะที่ 3-4-5  ต้องจำกัดโปรตีนเหลือ 0.6 - 08. กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมหรือถ้าจำกัดมากกว่านั้น คือ 0.4 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เน้นทานโปรตีนคุณภาพดี เช่น ไข่ ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน

    - การรับประทานโปรตีนเข้าไป ร่างกายจะนำไปใช้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเกิดเป็นของเสีย ซึ่งไตทำหน้าที่ขจัดของเสียที่เกิดโปรตีนมากเกินไปก็จะทำให้ไตทำงานหนัก สำหรับผู้ป่วยที่มีไตเสื่อมอาจจะทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น ในทางกลับกัน ถ้ารับประทานน้อยเกินไปก็จะทำให้ขาดสารอาหาร ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรได้รับอาหารที่มีโปรตีนเหมาะสม เพื่อชะลอการเสื่อมของไต

    - เลือกโปรตีนคุณภาพดี (High Biological Protein) คือ โปรตีนที่มีกรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน ได้แก่ เนื้อปลา เนื้อหมูสันใน เนื้อหมูไม่ติดมัน อกไก่ ไข่ขาว  และนมพร่องมันเนย หรือนมไขมันต่ำ

    - หลีกเลี่ยงสัตว์เนื้อแดง (เช่น เนื้อวัว เนื้อควาย) เนื้อสัตว์แปรรูป (เช่น หมูยอ ไส้กรอก แหนม แฮม ชีส)

    - โรคไตเรื้อรัง (ระยะก่อนฟอกเลือด) หรือมีค่าการกรองไต (eGFR) ต่ำกว่า 30 ml/min/1.73m2  เลือกอาหารที่มีโปรตีนน้อย หรือตามที่แพทย์กำหนด

    สูตรคำนวณโปรตีน : น้ำหนักตัวที่เหมาะสม x (0.6-0.8) = โปรตีนที่ควรได้รับต่อวัน (กรัม/วัน)

    ตัวอย่าง เช่น น้ำหนักที่ควรจะเป็น 55 กิโลกรัม คำนวณโปรตีนได้ 55 x 0.8 = 44 กรัม/วัน

    - โรคไตเรื้อรัง (ระยะหลังฟอกเลือด) à เลือกอาหารที่มีโปรตีนค่อนข้างสูง หรือตามที่แพทย์กำหนด

    สูตรคำนวณโปรตีน : น้ำหนักตัวที่เหมาะสม x 1.2 = โปรตีนที่ควรได้รับต่อวัน (กรัม/วัน)

    ตัวอย่าง เช่น น้ำหนักที่ควรจะเป็น 55 กิโลกรัม คำนวณโปรตีนได้ 55 x 1.2 = 66 กรัม/วัน

  2. ปริมาณเกลือโซเดียม ไม่ควรกินเกินวันละ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชา หรือเทียบเท่า น้ำปลา 5 ช้อนชา ร่างกายต้องการโซเดียมในปริมาณเล็กน้อยเพื่อควบคุมความดันโลหิต เมื่อเป็นโรคไตร่างกายจะไม่สามารถกำจัดโซเดียมส่วนเกินออกไปได้ ทำใหมีการคั่งของเกลือและน้ำเกิดอาการบวมเท้า ความดันโลหิตสูง หากปริมาณน้ำและเกลือคั่งมากจะเกิดน้ำท่วมปอด และเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ อ่านเรื่องการลดเกลือโดยการเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงรส ขนมคบเคี้ยว อ่านเรื่องเกลือและสุขภาพ

    - การควบคุมอาหารเค็ม เป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือมีอาการบวม

    - เทคนิคการควบคุมอาหารเค็ม ได้แก่ ทำอาหารลดเค็มลงครึ่งหนึ่ง หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารปรุงสำเร็จรูป ลดการเติมน้ำปลา/ซีอิ้ว/เกลือ ลงในอาหาร ไม่ควรใช้เกลือ/ซีอิ้ว/น้ำปลา สูตรโซเดียมต่ำ เนื่องจากมีส่วนประกอบเป็นเกลือโพแทสเซียม ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้

    -ใช้สมุนไพรหรือเครื่องเทศทดแทนรสชาติ เช่น ใบกระเพรา ใบโหรพา กระวาน พริกไทย ผักชีฝรั่ง หมาร่า เป็นต้น

    - อาหารอื่นๆ ที่มีโซเดียมค่อนข้างสูง ได้แก่ อาหารแปรรูป (ไส้กรอก หมูยอ ปลาเค็ม) อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป (โจ๊กซอง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) อาหารกระป๋อง ของหมักดอง (ผักดอง ปลาร้า กะปิ) ขนมกรุบกรอบ (มันฝรั่งทอด) ผงฟู/เบรกกิ่งโซดา (ขนมปัง เค้ก เบเกอรี่) เป็นต้น

    - ปริมาณโซเดียมที่ควรบริโภคคือ 2,000 มิลลิกรัม/วัน ดังนั้น การใส่เกลือ 1 ช้อนชาในอาหาร ก็จะได้โซเดียม 2,000 มิลลิกรัมแล้ว หันไปปรุงรสด้วยเครื่องปรุงที่มีปริมาณโซเดียมต่ำแทน

  3. โพแทสเซียม (Potassium)เป็นเกลือแร่ที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อและประสาทเป็นไปตามปกติ เมื่อไตทำงานลดลงจะลดการขับโพแทสเซียมทางปัสสาวะ ทำให้เกิดการสะสมของโพแทสเซียม ทำให้โพแทสเซี่ยมในเลือดสูงจะเริ่มมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริว หรือหัวใจเต้นผิดปกติได้ สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่1-3 เป็นผู้ป่วยโรคไตระยะเริ่มต้นและปานกลาง ซึ่งไตยังพอขับถ่ายของเสียได้ดี มีปัสสาวะจำนวนมากและระดับของโพแทสเซียมในเลือดไม่สูงมาก สามารถรับประทานผักและผลไม้ได้โดยไม่ต้องจำกัด สามารถรับประทานอาหารที่มีโปแตสเซี่ยมได้วันละ 4700 มิลิกรัม หากตรวจเลือดแล้วผลโพแทสเซี่ยมในเลือดไม่สูง แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 4-5 ไม่ควรได้รับเกิน 1500 มิลลิกรัม ต่อวัน (หรือผู้ป่วยมีค่าโพแทสเซียมในเลือดสูง

     จำกัด 2,000-3,000 มก./วัน

    -โพแทสเซียม มีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและหัวใจ เมื่อมีไตเสื่อม การขับโพแทสเซียมจะลดน้อยลง ระดับโพแทสเซียมในเลือดควรน้อยกว่า 5 mEq/L

    - ถ้าระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงมากเกินไปอาจจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติหรือหยุดเต้นได้ ดังนั้น ในผู้ป่วยที่มีไตเสื่อมระยะ 4-5 หรือระดับโพแทสเซียมสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง

รายการอาหารกลุ่มผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซี่ยมสูงปานกลางและต่ำ(100กรัม)

โพแทสเซี่ยมสูง(270 มก.)

ผลไม้ ผัก
แก้วมังกร แคนตาลูป แตงโม แตงไทย ฝรั่ง มะละกอ ทุเรียน มะขาวหวาน ลำไยแห้ง อะโคาโด สตรอว์เบอร์รี่ น้ำผลไม้กล่อง กระหล่ำดอก กระหล่ำปลีม่วง กระชาย กระถิน

 

-      ผลไม้กลุ่มที่มีโพแทสเซียมสูง กินได้วันละ 1 ส่วน  ส่วนผักกลุ่มที่มีโพแทสเซียมสูง กินได้วันละ 1 ทัพพี

-      ถ้าระดับค่าโพแทสเซียมในเลือดมากกว่า 5.5 mEq/L ให้งดผลไม้

-      ผักใบเขียวทุกชนิดสามารถกินได้ หากนำไปลวกหรือต้มก่อน เพื่อลดปริมาณโพแทสเซียมในผักลง

  • ฟอสฟอรัสเมื่อไตวาย ร่างกายจะมีปัญหาการดูดซึมแคลเซียม และการกำจัดฟอสฟอรัสจะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมน้อยและมีฟอสฟอรัสในเลือดมากเกินไป ไม่ควรกินเกิน 800 มิลลิกรัมต่อวันจะจำกัดในผูป่วยระยะที่ 3- 4 – 5 ควรเลี่ยงการทาน นม ผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด ช็อคโกแลต  ไข่แดง  ถั่วเมล็ดแห้งทุกชนิด  เต้าหู้ถั่วเหลือง รำข้าว เนยแข็ง นมและผลิตภัณฑ์จากนม นมข้นหวาน ไข่ปลา ไข่แดง กุ้ง ปู ผลิตภัณฑ์ที่ใส่ผงฟู ถั่วเมล็ดแห้ง น้ำอัดลมสีดำ
  • น้ำ จะมีการจำกัดในผู้ป่วยที่บวบน้ำ หรือแพทย์เป็นผู้กำหนด ประมาณ 1000-1200 มิลลิตร ต่อวัน  ในรายที่ไตวายมาก  อาจลดเหลือแค่500 มิลลิตรต่อวัน หรือปัสสาวะไม่ออก
  • พลังงาน คำนวณจากน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต้องการพลังงาน 30 กิโลแคลอรี่  ในกรณีทำงานปานกลาง  ถ้าทำงานเบา น้ำหนัก 1 กิโลกรัม:25 กิโลแคลอรี่แทน  ควรได้รับพลังงานเพียงพอ  ทั้ง คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน  โดยเฉพาะไขมันควรเป็นไขมันที่ไม่อิ่มตัว ข้าวทานได้ปกติ ในรายที่ต้องระวังฟอสฟอรัสในเลือดสูงให้เลี่ยงการทานข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี (ทานแป้งปลอดโปรตีนแทน เช่น เส้นเซี่ยงไฮ้ ข้าวหอมมะลิสีขาว เส้นหมี่ เส้นใหญ่)
  • พลังงาน

    - พลังงานในอาหารต้องเพียงพอต่อความต้องการ เพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหารและการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ

    -คนที่อายุต่ำกว่า 60 ปี ควรได้รับพลังงาน 35 กิโลแคลอรี/กิโลกรัมน้ำหนักตัวที่เหมาะสม/วัน

    -ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีควรได้รับพลังงาน 30 กิโลแคลอรี/กิโลกรัมน้ำหนักตัวที่เหมาะสม/วัน

    ตัวอย่าง เช่น อายุ 45 ปี น้ำหนักที่เหมะสม 55 กิโลกรัม พลังงานที่ควรได้รับ คือ 55x30=1,650 กิโลแคลอรี/วัน

  •  การควบคุมอาหารอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกของโรค จะช่วยชะลอความเสื่อมของไต โดยรับประทานอาหารที่มีโปรตีนต่ำ ซึ่งจะมีผลให้ของเสีย (เช่น ยูเรีย) มีปริมาณน้อยลง ไตส่วนที่เหลือทำงานได้เบาลง

    ระยะของโรคไตเรื้อรังมี 5 ระยะ แบ่งตามค่าการกรองของไต (หรือ eGFR)

               ระยะที่ 1        ค่า eGFR  ≥90%

               ระยะที่ 2        ค่า eGFR = 60-89% 

               ระยะที่ 3        ค่า eGFR =30-59% 

               ระยะที่ 4        ค่า eGFR =15-29% 

               ระยะที่ 5        ค่า eGFR<15%

     

    ตัวอย่างการอ่านตาราง เช่น น้ำหนัก 55 กิโลกรัม ให้ดูที่ช่องน้ำหนัก 55-59 กิโลกรัม จะทราบโปรตีนที่ควรกินต่อวัน คือ 35 กรัม, เนื้อสัตว์ 6 ช้อนกินข้าว, ข้าวแป้ง 6 ทัพพี, ผักใบเขียว 3 ทัพพี, ผลไม้ 1 ส่วน, น้ำมัน 12 ช้อนชา

     

    ไขมัน

    -      เลือกน้ำมันชนิดที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง ได้แก่ น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น เลี่ยงน้ำมันชนิดที่มีไขมันอิ่มตัว ได้แก่ น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เนย และเบคอน เป็นต้น

    คาร์โบไฮเดรต

    -      สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังก่อนฟอกเลือดเลือก แป้งปลอดโปรตีน ได้แก่ วุ้นเส้น แป้งมัน แป้งถั่วเขียว สาคู และเส้นเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น  เป็นแป้งที่ไม่มีโปรตีนในส่วนประกอบ ทำให้ลดปริมาณโปรตีนต่อวันลงได้

    ตัวอย่างเมนูอาหาร เช่น ยำวุ้นเส้น แกงจืดวุ้นเส้น ผัดวุ้นเส้น ยำก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ ครองแครงแก้ว ขนมชั้น ลืมกลืน สาคูน้ำเชื่อม ซาหริ่ม เป็นต้น

     

    ฟอสฟอรัส (phosphorus) จำกัด 800-1,000 มก./วัน

    -      ฟอสฟอรัสหรือฟอสเฟต มีผลต่อความแข็งแรงของกระดูก ไตที่ปกติจะขับฟอสฟอรัสออกได้ แต่เมื่อมีไตเสื่อม การขับฟอสฟอรัสจะน้อยลง ทำให้ระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูงขึ้น

    -      เมื่อระดับฟอสฟอรัสสูงขึ้นจะทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง และแคลเซียมถูกดึงออกมาจากกระดูก ทำให้กระดูกไม่แข็งแรง นอกจากนั้น ฟอสฟอรัสจะจับกับแคลเซียมที่อยู่ในเลือดเกิดเป็นหินปูนอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจ,ข้อ ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจตามมา

    -      ในผู้ป่วยทีมีไตเสื่อมระยะที่ 3-5 หรือระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง ได้แก่ นม นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เนย คุกกี้ ขนมปัง ไอศกรีม กาแฟผง ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วต่างๆ เต้าหู้ นมถั่วเหลือง โอวัลติน ไมโล โกโก้ โคลา เป๊ปซี่ กาแฟใส่นม เบียร์ น้ำแร่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ข้าวโพด งา ทองหยิบ ทองหยอด ไข่แดง เมล็ดพืช แมลงต่างๆ เป็นต้น

    -      กลุ่มอาหารแปรรูป จะให้ฟอสฟอรัสที่มากกว่ากลุ่มอาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านการแปรรูป

     

    อาหารอื่นๆ ที่ควรระวัง

    -      ปริมาณน้ำที่ควรดื่ม คำนวณได้จากปริมาตรปัสสาวะต่อวัน + น้ำ 500 มิลลิลิตร

    -      งดดื่มสมุนไพร ยาต้ม ยาหม้อ ยาลูกกลอน

    -      โรคไตมักจะขาดวิตามินบี 6 , วิตามินดี ,  กรดโฟลิก , ธาตุเหล็ก , ธาตุสังกะสีและแคลเซียม

    หมายเหตุ

    1.   การลวกหรือต้มผักใบเขียวจะช่วยลดปริมาณโพแทสเซียมในผักลง

    2.   เลือกเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนคุณภาพสูงและการขับของเสียน้อย เช่น ไข่ขาว และเนื้อปลา เป็นต้น

    3.   ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง สามารถกินได้แต่ไม่เกินปริมาณที่กำหนด

    4.   อย่าเครียดจนไม่กินอาหาร เพราะจะทำให้อาการแย่ลงและเกิดภาวะขาดสารอาหารได้

    เพิ่มเพื่อน