หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน | อาหารเพื่อสุขภาพ
Naproxen เป็นยาในกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ที่แพทย์ Orthopedic มักใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดและการอักเสบจากโรคกระดูกและข้อ เช่น ข้อเสื่อม (Osteoarthritis), ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis), โรคเกาต์ (Gout), เอ็นอักเสบ (Tendinitis), หรืออาการปวดประจำเดือน ยานี้ช่วยลดอาการปวดและบวมได้ดี แต่ผู้ป่วยมักกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงและความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้น เช่น โรคหัวใจหรือแผลในกระเพาะอาหาร บทความนี้จะช่วยตอบคำถามที่พบบ่อยและให้คำแนะนำเพื่อให้คุณใช้ Naproxen ได้อย่างปลอดภัย
Naproxen ใช้รักษาอาการปวดและการอักเสบจากโรคหรือภาวะต่อไปนี้:
โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) และข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) เพื่อลดอาการปวดและตึงข้อ
ข้ออักเสบจากโรคเกาต์ (Gout) เพื่อบรรเทาอาการปวดเฉียบพลัน
เอ็นอักเสบ (Tendinitis) และถุงน้ำข้ออักเสบ (Bursitis) เพื่อลดการอักเสบในเนื้อเยื่อรอบข้อ
อาการปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea)
อาการปวดหลังการผ่าตัดกระดูก เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า
ยานี้ทำงานอย่างไร? Naproxen ทำงานโดยการยับยั้งเอนไซม์ COX-1 และ COX-2 ซึ่งลดการผลิตสาร Prostaglandins ที่ทำให้เกิดอาการปวดและการอักเสบ
เพื่อให้ได้ผลดีและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
ขนาดยาที่แนะนำ:
ผู้ใหญ่: รับประทาน 250-500 มก. วันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) โดยขนาดสูงสุดไม่ควรเกิน 1,500 มก./วัน
โรคเกาต์เฉียบพลัน: เริ่มต้นด้วย 750 มก. ครั้งแรก จากนั้นให้ 250 มก. ทุก 8 ชั่วโมง จนกว่าอาการจะดีขึ้น
เด็ก (มากกว่า 2 ปี): 10 มก./กก./วัน แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง (สำหรับ Juvenile Arthritis)
วิธีรับประทาน:
รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที เพื่อป้องกันอาการแสบท้อง
หากใช้ยาน้ำ (Suspension) ให้เขย่าขวดก่อนใช้ และใช้ช้อนตวงยาให้ได้ขนาดที่ถูกต้อง
ดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจส่งผลต่อไต
ระยะเวลาใช้ยา:
หากใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดทั่วไป ไม่ควรใช้เกิน 10 วัน หรือ 3 วันสำหรับไข้ เว้นแต่แพทย์แนะนำ
สำหรับโรคข้ออักเสบเรื้อรัง อาจใช้ยานาน 2-3 สัปดาห์เพื่อเห็นผลเต็มที่ แต่ควรใช้ขนาดต่ำสุดที่ควบคุมอาการได้
Naproxen อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคบางอย่าง โดยเฉพาะหากใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้ในระยะยาว ความเสี่ยงหลัก ๆ มีดังนี้:
ความเสี่ยง: Naproxen อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร (Peptic Ulcer), เลือดออกในทางเดินอาหาร (GI Bleeding), หรือกระเพาะทะลุ (Perforation) โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีประวัติโรคกระเพาะอาหาร หรือใช้ยาในขนาดสูง
อาการที่พบ: แสบท้อง, อาเจียนเป็นเลือด, อุจจาระสีดำ
ความเสี่ยง: Naproxen อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Heart Attack) และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคหัวใจอยู่แล้ว หรือใช้ยานานเกินไป ความเสี่ยงนี้น้อยกว่า NSAID บางตัว เช่น Ibuprofen หรือ Diclofenac แต่ก็ยังมีอยู่
อาการที่พบ: แน่นหน้าอก, หายใจลำบาก, แขนขาอ่อนแรง
ความเสี่ยง: Naproxen อาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury) หรือโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease) โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาไตอยู่แล้ว ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ขาดน้ำ
อาการที่พบ: ปัสสาวะน้อยลง, บวมตามร่างกาย, ความดันโลหิตสูงขึ้น
ความเสี่ยง: Naproxen อาจทำให้เกิดตับอักเสบจากยา (Drug-Induced Hepatitis) หรือการทำงานของตับผิดปกติ ในกรณีที่พบได้น้อย
อาการที่พบ: ตัวเหลือง, ปัสสาวะสีเข้ม, คลื่นไส้รุนแรง
ความเสี่ยง: Naproxen อาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) หรือผื่นแพ้ยา (Drug Rash) โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติแพ้ยาในกลุ่ม NSAID
อาการที่พบ: ผื่น, หายใจลำบาก, บวมที่ใบหน้า
เพื่อลดความเสี่ยงของโรคดังกล่าว ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
รับประทานยาพร้อมหรือหลังอาหารทันที เพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
ใช้ยาลดกรดร่วมด้วย เช่น Omeprazole หรือ Lansoprazole หากมีประวัติโรคกระเพาะอาหาร
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพราะเพิ่มความเสี่ยงต่อแผลในกระเพาะ
หยุดยาและพบแพทย์ทันทีหากมีอาการ เช่น ปวดท้องรุนแรง, อาเจียนเป็นเลือด, หรืออุจจาระสีดำ
ใช้ Naproxen ในขนาดต่ำสุดและระยะเวลาสั้นที่สุด
แจ้งแพทย์หากมีประวัติโรคหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ
หยุดยาและพบแพทย์ทันทีหากมีอาการ เช่น แน่นหน้าอก, หายใจลำบาก, หรือแขนขาอ่อนแรง
หลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดบายพาสหัวใจ (CABG)
ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
แจ้งแพทย์หากมีประวัติโรคไต เช่น นิ่วในไต หรือโรคไตเรื้อรัง
ตรวจการทำงานของไตเป็นระยะ หากใช้ยานาน
หยุดยาและพบแพทย์หากมีอาการ เช่น ปัสสาวะน้อยลง หรือบวมตามร่างกาย
ใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ (ไม่เกิน 1,500 มก./วัน)
แจ้งแพทย์หากมีประวัติโรคตับ เช่น ตับอักเสบ
ตรวจการทำงานของตับเป็นระยะ หากใช้ยานาน
หยุดยาและพบแพทย์หากมีอาการ เช่น ตัวเหลือง หรือปัสสาวะสีเข้ม
แจ้งแพทย์หากมีประวัติแพ้ยาในกลุ่ม NSAID เช่น Aspirin หรือ Ibuprofen
สังเกตอาการในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกหลังใช้ยาครั้งแรก
หยุดยาและไปโรงพยาบาลทันทีหากมีอาการ เช่น ผื่นรุนแรง หรือหายใจลำบาก
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยแต่ไม่รุนแรง ได้แก่:
แสบท้อง แน่นท้อง ท้องร่วง ท้องผูก หรือมีก๊าซในท้อง
ปวดศีรษะ มึนงง หรือเวียนศีรษะ
ผื่นคัน หรือมีเสียงในหู (Tinnitus)
ตามัวเล็กน้อย
อาการรุนแรงที่ต้องหยุดยาและพบแพทย์ทันที:
แน่นหน้าอก หายใจเหนื่อย พูดไม่ชัด มีปัญหาการทรงตัว หรือการมองเห็น
อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด หรืออุจจาระสีดำ
บวม น้ำหนักเพิ่ม หรือปัสสาวะน้อยลง
ตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม หรือแน่นท้อง
ผื่นรุนแรง ผิวหนังลอก หรือบวมที่ใบหน้าและปาก
ไม่ควรใช้ Naproxen ติดต่อกันนานเกินไป เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร, ปัญหาไต, หรือโรคหัวใจ
หากต้องใช้ยานาน (เช่น ในโรคข้ออักเสบเรื้อรัง) ควรใช้ขนาดต่ำสุดที่ควบคุมอาการได้ และพบแพทย์เพื่อตรวจตับ ไต และความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
คุณควรแจ้งแพทย์ก่อนใช้ Naproxen หากมีภาวะต่อไปนี้:
โรคหอบหืดหรือโรคภูมิแพ้
โรคกระเพาะอาหาร แผลในกระเพาะอาหาร หรือโรคลำไส้อักเสบ (เช่น Crohn’s Disease, Ulcerative Colitis)
โรคไต โรคตับ หรือนิ่วในไต
โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือมีประวัติเลือดออกง่าย
เป็นโรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus)
อายุมากกว่า 65 ปี (ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงมากขึ้น)
ข้อห้ามใช้:
ห้ามใช้หากคุณแพ้ Naproxen หรือยาในกลุ่ม NSAID อื่น เช่น Aspirin, Ibuprofen, Diclofenac หรือ Indomethacin
ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดบายพาสหัวใจ (CABG)
หญิงตั้งครรภ์: Naproxen จัดอยู่ใน Pregnancy Category C ในไตรมาสที่ 1 และ 2 (อาจมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์) และ Category D ในไตรมาสที่ 3 (มีความเสี่ยงชัดเจน เช่น อาจทำให้ท่อเลือดแดงในทารกปิดก่อนกำหนด) จึงไม่ควรใช้ในไตรมาสที่ 3 และควรใช้ในไตรมาสที่ 1-2 เฉพาะเมื่อจำเป็น
หญิงให้นมบุตร: Naproxen ผ่านไปในน้ำนมได้ในปริมาณเล็กน้อย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ เว้นแต่แพทย์จะพิจารณาว่าประโยชน์มีมากกว่าความเสี่ยง
Naproxen อาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด ดังนั้นควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้ เช่น:
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น Warfarin) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออก
ยาลดความดันโลหิต (เช่น ACE Inhibitors) อาจลดประสิทธิภาพ
ยาต้านซึมเศร้าในกลุ่ม SSRI (เช่น Fluoxetine) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อเลือดออกในทางเดินอาหาร
ห้ามใช้ Naproxen ร่วมกับ NSAID อื่น เช่น Ibuprofen หรือ Aspirin และควรอ่านฉลากยาแก้หวัดให้ดีว่ามี NSAID หรือไม่
เพื่อลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
ป้องกันอาการแสบท้องหรือแผลในกระเพาะอาหาร:
รับประทานยาพร้อมอาหาร หรือดื่มนมเพื่อลดการระคายเคือง
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อเลือดออกในทางเดินอาหาร
หากมีประวัติแผลในกระเพาะอาหาร แพทย์อาจสั่งยาลดกรด เช่น Omeprazole ร่วมด้วย
ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ:
ใช้ Naproxen ในขนาดต่ำสุดและระยะเวลาสั้นที่สุด
หากมีประวัติโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูง ควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ป้องกันปัญหาไต:
ดื่มน้ำให้เพียงพอขณะใช้ยา
หากปัสสาวะน้อยลงหรือมีอาการบวม ควรพบแพทย์ทันที
หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด:
Naproxen อาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดด ควรใช้ครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้าป้องกันแสงแดด
เก็บที่อุณหภูมิห้อง (20-25 องศาเซลเซียส) หลีกเลี่ยงความชื้น ความร้อน และแสงแดด
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
Naproxen เป็นยาที่ช่วยบรรเทาอาการปวดและการอักเสบได้ดีสำหรับผู้ป่วย Orthopedic แต่ควรใช้อย่างระมัดระวัง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคทางเดินอาหาร, โรคหัวใจ, โรคไต, โรคตับ และอาการแพ้รุนแรง การรับประทานตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานพร้อมอาหาร และหยุดยาทันทีหากมีอาการผิดปกติ เช่น แน่นหน้าอก, อาเจียนเป็นเลือด, หรือผื่นแพ้ จะช่วยให้คุณใช้ Naproxen ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
Naproxen เป็นยาต้านอักเสบกลุ่ม nonsteroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs) ออกฤทธิ์โดยการลดฮอร์โมนที่จะทำให้เกิดการอักเสบและอาการปวด Naproxenจะใช้รักษาอาการปวด เช่นข้ออักเสบ เอ็นอักเสบ โรคเกาต์ ปวดประจำเดือน
ยานี้มีผลข้างเคียงที่ผู้รับประทานจะต้องทราบ
หากมีอาการแน่นหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย บวมหน้าหนังตา ให้หยุดยาทันที
ผลข้างเคียงที่พบแต่อาการไม่มากได้แก่
ยา Naproxen ใช้รักษาหรือบรรเทาโรคหรือภาวะดังต่อไปนี้
การใช้ยาชนิดนี้ต้องระวังเพราะมีด้วยกันหลายรูปแบบ
โดยทั่วไปรับประทานวันละ 2 ครั้งหลังอาหารเช้า-เย็น การรักษาข้ออักเสบอาจใช้เวลานานถึง 2-3 สัปดาห์
ผลข้างเคียงของยาที่พบบ่อย
ความปลอดภัยของยานี้ในสตรีมีครรภ์
สำหรับสตรีมีครรภ์ ยานี้จัดอยู่ในประเภท B (ประเภท D เมื่อตั้งครรภ์เดือนที่ 6-9 และใกล้คลอด)
ความปลอดภัยการใช้ยาสำหรับคนตั้งครรภ์ จัดอยู่ในกลุ่ม C ต้องแจ้งแพทย์หากคุณมีแผนที่จะตั้งครรภ์ หรือกำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้ยานี้ในคนตั้งครรภ์ไตรมาศ3