การเจาะน้ำตาลหลังอดอาหาร8ชั่วโมงหรือเรียกว่า Fasting Blood Sugar(FBS)


เมื่อแพทย์สั่งให้ท่านเจาะเลือดโดยสั่งว่าต้องงดอาหาร 8 ชั่วโมงโดยงออาหารทุกชนิด เครื่องดื่มทุกชนิด แต่ดื่มน้ำเปล่าได้ ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะสั่งตรวจน้ำตาล และไขมันในกระแสเลือด

ประโยชน์ของการตรวจน้ำตาลในกระแสเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง Fasting Blood Sugar(FBS)

  • เพื่อใช้ในการคัดกรอง และวินิจฉัยผู้ที่มีอาการแสดงหรือมีปัจจัยเสี่ยงเป็นเบาหวาน
  • ใช้ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อประเมินผลการรักษา
  • ตรวจป้องกันระดับน้ำตาลในเลือดสูง [hyperglycemia] หรือระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ [hypoglycemia] เกินไปในผู้ป่วยเบาหวาน

น้ำตาลในเลือดมาจากไหน

น้ำตาลในเลือดมาจากสามแหล่งได้แก่

  • จากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ทั้งอาหารประเภทแป้ง โปรตีน หรือไขมัน โดยอาหารพวกแป้งจะถูกดูดซึมได้เร็วและทำให้น้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว
  • ปกติร่างกายจะเก็บน้ำตาลในรูป glycogen เมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำลง ร่างกายจะเอา glycogen มาเปลี่ยนเป็นน้ำตาล
  • จากการสร้างน้ำตาลขึ้นเองจากตับและไต

โดยน้ำตาลกลูโคส (glucose) เป็นแหล่งพลังงานแรกที่ร่างกายนำไปใช้ โดยมีฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อนที่เรียกว่าอินซูลิน Insulin เป็นตัวนำน้ำตาลเข้าเซลล์ไปให้ร่างกายใช้เป็นพลังงาน แต่หากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินเช่นในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่1 หรือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) ซึ่งพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่2 จะทำให้น้ำตาลอยู่ในกระแสเลือด ไม่สามารถนำไปให้อวัยวะต่างๆในร่างกายใช้ได้ การมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้ส่งผลต่อโรคแทรกซ้อนตามอวัยวะต่างๆ เช่น ตาเสื่อม ไตเสื่อม โรคหลอดเลือดหัวใจ และระบบประสาทเสื่อมตามมา



การเจาะเลือดตรวจ FBS จะเจาะถี่แค่ไหน

การเจาะเลือดตรวจ FBS บ่อยแค่ไหนขึ้นกับวัตถุประสงค์ของการเจาะ

การแปลผลเลือด

การแปลผลเลือดจะขึ้นกับวัตถุประสงค์ของการเจาะเลือดกล่าวคือ

จุดประสงค์เพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน

สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจสุขภาพหรือผู้ที่มีอาการของเบาหวานแพทย์จะนัดเจาะเลือดหังดอาหาร 8 ชั่วโมงซึ่งแปลผลดังนี้

ผู้ไม่เป็นเบาหวาน

=น้อยกว่า 100 mg/dL

ผู้มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน

=100 ถึง 125 mg/dL 

ผู้เป็นเบาหวาน

= มากกว่าหรือเท่ากับ 126 mg/dL

หากผลเลือดต่ำกว่า 100 mg/dL และท่านไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ให้เจาะเลือดทุก 3 ปี

1สำหรับผู้ที่มีค่ำน้ำตาลเกินค่าปกติ

แต่หากผลเลือดท่านอยู่ระหว่าง 100-125 mg/dLท่านอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน แสดงโอกาสมีความเสี่ยงการเป็นเบาหวานในอนาคต

การดูแลตัวเองหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

  • ลดน้ำหนักด้วยวิธีที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน
  • เพิ่มการออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน   5 วันต่อสัปดาห์ เช่น การเดินเร็ว การวิ่ง การเต้นรำ
  • รับประทานอาหารสุขภาพ

ให้ท่านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและเจาะเลือดทุก 1 ปี

หากผลเลือดท่านมากกว่า 126 mg/dLแสดงว่าท่านเริ่มจะเป็นโรคเบาหวานแพทย์จะนัดท่านตรวจการทำงานของไต ตรวจตา ตรวจปัสสาวะ และท่านควรจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

2จุดประสงค์เพื่อติดตามโรคเบาหวาน

สำหรับท่านที่เป็นโรคเบาหวานค่าน้ำตาลที่เหมาะสมคืออยู่ในช่วงระหว่าง  70 ถึง 130 mg/dL  สำหรับผู้ที่เจาะเลือดพบีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก เช่น มากกว่า 250 mg/dLและมีอาการ ปัสสาวะบ่อย ปากแห้งผิวแห้ง เหนื่อยง่าย คลื่นไส้อาเจียนโดยเฉพาะการอาเจียนติดต่อกันมากกว่า 2 ชม. หรือปวดท้อง หายใจสั้นและถี่ กลิ่นลมหายใจเป็นผลไม้   สับสน และอาจหมดสติ ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้ เรียกภาวะ (Diabetic Ketoacidosis; DKA)

ค่าน้อยกว่าปกติ คือ น้อยกว่าหรือเท่ากับ 60 mg/dL 

หากน้ำตาลน้อยกว่า 60 mg/dL เราเรียกภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซึ่งอาจจะแสดงอาการหรือไม่แสดงอาการขึ้นกับสภาพของผู้ป่วย อาการที่แสดงออกบ่อยได้แก่ เหงื่อออก ใจสั่น มือสั่น หิว หากเป็นมากจะสับสน ตามัว และอาจจะหมดสติ

สาเหตุของน้ำตาลต่ำ

  • สาเหตุที่พบบ่อยเกิดจากยารักษาเบาหวานโดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคไตเสื่อม
  • เนื้องอกที่ตับอ่อนที่เรียกว่า Insulinomaตัวเนื้องอกจะสร้างฮอร์โมนอินซูลินิ
  • ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยที่เรียกว่า Hypothyroidism
  • ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป Hyperthyroid
  • ผู้ที่มีโรคตับ โรคไต โรคหัวใจ หรือติดเชื้ออย่างรุนแรงอาจจะทำให้น้ำตาลต่ำ
  • จากการฉีดอินซูลินซึ่งอาจจะเกิดจากปัจจัยอย่างเดียวหรือหลายปัจจัยร่วมกันกล่าวคือ การฉีดยาผิดเวลา การฉีดยาผิดขนาด การไม่รับประทานอาหาร หรือรับประทานอาหารน้อยไป การออกกำลังมากไป หรือกำลังมีโรคแทรกซ้อน
  • สำหรับผู้ที่อดอาหารหรือรับประทานอาหารไม่ได้โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มสุราเป็นโรคตับแข็ง

การดูแลตัวเอง

  • สำหรับผู้ที่มีอาการน้ำตาลต่ำและยังรู้สึกตัวให้ดื่มน้ำผลไม้ หรือนมพออาการบรรเทาแล้วก็รับประทานอาหาร สำหรับผู้ที่มีน้ำตาลต่ำบ่อยให้พกลูกอมติดตัวเมื่อเกิดอาการน้ำตาลต่ำก็อมลูกอม โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางนานๆ
  • สำหรับผู้ที่ไม่รู้สึกตัวกลืนอาหารเองไม่ได้ห้ามป้อนน้ำหวานเพราะอาจจะสำลัก ให้รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน

 

โรคเบาหวาน  

 

น้ำตาล น้ำตาลหลังอดอาหาร8ชั่วโมง น้ำตาลหลังจากรับประทานอาหาร2ชั่วโมง การทดOGTT

เอกสารอ้างอิง

  • American Diabetes Association. Diagnosis and classification of diabetes mellitus. Diabetes Care 2012;35(Suppl 1):S64–S71.

ทบทวนวันที่ 26/1/2566

โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

Google
 

เพิ่มเพื่อน