1ไขมันอิ่มตัว Saturated fat
หมายถึงกรดไขมันที่มีธาตุ C ต่อกันด้วย single bond เท่านั้นการรับประทานอาหารไขมันชนิดอิ่มตัว จะทำให้ไขมันในเลือดสูงและเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดตีบ ไขมันอิ่มตัวมีอยู่ในอาหารหลายชนิดทั้งคาวและหวาน
ส่วนใหญ่มาจากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงอาหารจากพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว
อาหารไขมันอิ่มตัวทำให้เกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้นหรือไม่
จากการศึกษาในอดีตเชื่อว่าคอเลสเตอรอลสูงทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ดังนั้นอาหารที่มีคอเลสเตอรรอลสูงก็เป็นสาเหตุของโรคหัวใจด้วย จึงทำให้มีการแนะนำให้ให้จำกัดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เช่น นม เนย แต่จะการศึกษาล่าสุด พบว่าไขมันอิ่มตัวในอาหารบางชนิดไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจ หรือตายจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น พบว่าหากเราลดไขมันอิ่มตัวและเพิ่มเป็นอาหารจำพวกแป้ง เช่นขนมปัง หรือข้าวจะไม่ลดอัตราการเสียชีวิต แต่หากทดแทนไขมันอิ่มตัวด้วยไขมันไม่อิ่มตัวจะลดการเกิดโรคหัวใจ แม้ว่าการรับประทานไขมันอิ่มตัวจะไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดโรคหัวใจ แต่ก็ไม่ควรจะรับประทานมากเพราะไขมันอิ่มตัวทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น สมาคมแพทย์โรคหัวใจของอเมริกาแนะนำว่าไม่ควรรับประทานไขมันอิ่มตัวเกินร้อยละ10ของพลังงานที่ได้รับ และให้ทดแทนด้วยไขมันไม่อิ่มตัว โดยลดอาหารจำพวกแป้ง
แหล่งอาหารของไขมันอิ่มตัว
ได้แก่ น้ำมันปาล์ม กะทิ เนย นม เนื้อแดง ช้อกโกแลต อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวได้แก่
เนื้อสัตว์ติดมัน
ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน
เนย น้ำมันหมู เนยใส
ชีสชนิดแข็ง เช่น เชดดาร์
ครีม ไอสครีม ครีมเปรี้ยว
ของขบเคี้ยวบางอย่าง เช่น แครกเกอร์ชีส และป๊อปคอร์น
คุกกี้ ขนมเค้ก เบเกอร์รี่
น้ำมันปามล์
มะพร้าว
ช็อกโกแลต
ขนมปังกรอบเค้กและขนมอบ
น้ำมันปาล์ม
น้ำมันมะพร้าวและกะทิ
คอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัว
คอเลสเตอรอลเป็นสารไขมันที่ร่างกายสร้างขึ้นในตับเป็นส่วนใหญ่
มีอยู่ในกระแสเลือดดังนี้:
ไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) เป็นไขมันเลว
ไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) เป็นไขมันดี
การรับประทานไขมันอิ่มตัวมากเกินไปในอาหารของคุณอาจทำให้โคเลสเตอรอลไขมันเลว ในเลือดของคุณเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด .
คอเลสเตอรอล HDL ที่ไขมันดี มีผลในเชิงบวกโดยการนำคอเลสเตอรอลจากส่วนต่างๆ ของร่างกายที่มีคอเลสเตอรอลไปยังตับมากเกินไปซึ่งจะถูกกำจัดออกไป
แนวทางการจัดการกับไขมันอิ่มตัว
ผู้ชายไม่ควรกินไขมันอิ่มตัวเกิน 30 กรัมต่อวัน
ผู้หญิงไม่ควรกินไขมันอิ่มตัวเกิน 20 กรัมต่อวัน
สำหรับเด็กควรรับประทานให้น้อย
วิธีการลดอาหารไขมันอิ่มตัว
เปลี่ยนน้ำมันปามล์ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู เนยเป็นน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนล่า
เลือกเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำเช่นสันใน หรือเนื้อบริเวณสะโพก หลีกเลี่ยงหมูสามชั้น คอหมู ส่วนไก่ก็เลาะหนังออก
ลดปริมาณการใช้น้ำมันโดยการใช้น้ำมันทาที่ผิวแทนการเทน้ำมันในกะทะหรือใช้สเปรย์ฉีด หรือการตรวจน้ำมัน
เลือกอาหารโดยอ่านจากฉลากอาหารเลือดอาหารที่มีไขมันจ่ำ
ใช้การนิ่ง อบ ย่างแทนการทอด
หลีกเลี่ยงอาหารทอดที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ
หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปเช่นไส้กรอก หมูแฮม
หลีกเลี่ยงแกงกะทิ ขนมซึ่งใส่กะทิ
2ไขมันไม่อิ่มตัว
หากคุณต้องการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ควรลดการบริโภคไขมันโดยรวมและเปลี่ยนไขมันอิ่มตัวเป็นไขมันไม่อิ่มตัว
มีหลักฐานที่ดีว่าการแทนที่ไขมันอิ่มตัวด้วยไขมันไม่อิ่มตัวบางชนิดสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลของคุณได้
ส่วนใหญ่พบในน้ำมันจากพืชและปลา ไขมันไม่อิ่มตัวอาจเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว หรือไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ก็ได้
2.1ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว Monounsaturated
เป็นกรดไขมันที่มีธาตุ C ต่อกันด้วย Double bond เพียงหนึ่งตำแหน่ง
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการรับประทานอาหารไขมันประเภทนี้ ทดแทนไขมันอิ่มตัวจะช่วยลดระดับ LDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวช่วยปกป้องหัวใจของคุณโดยการรักษาระดับ HDL คอเลสเตอรอล "ดี" ในขณะที่ลดระดับคอเลสเตอรอล "ไม่ดี" ในเลือดของคุณ
อาหารที่มีไขมันMonounsaturatedได้แก่
อะโวคาโด
ถั่วต่างเช่น almonds, brazils , peanuts cashews, hazelnuts
เขยทาขนมปังที่ทำจากถั่วดังกล่าว
น้ำมันมะกอก
น้ำมันคาโนล่า
น้ำมันถั่ว
2.2กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน Polyunsaturated
หมายถึงกรดไขมันที่มีธาตุ C ต่อกันด้วย Double bond อยู่หลายตำแหน่ง หากรับประทานแทนไขมันอิ่มตัวจะไม่เพิ่มระดับไขมันในร่างกาย ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนยังสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ "ไม่ดี" ในเลือดของคุณได้
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนมี 2 ประเภทหลัก: โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6
ร่างกายของคุณไม่สามารถสร้างไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 บางชนิดได้ ซึ่งหมายความว่าจำเป็นต้องใส่ไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 เข้าไปในอาหารในปริมาณเล็กน้อย
ไขมันโอเมก้า 6 พบได้ในน้ำมันพืช เช่น
เมล็ดเรพซีด
ข้าวโพด
ดอกทานตะวัน
ถั่วบางชนิด
ไขมันโอเมก้า 3 มีอยู่ในปลาที่มีน้ำมัน เช่น
ปลาเฮอริ่ง
ปลาซาร์ดีน
ปลาแซลมอน
ปลาทู
คนส่วนใหญ่ได้รับโอเมก้า 6 เพียงพอในอาหาร แต่อย่างไรก็ตาม แนะนำให้มีโอเมก้า 3 มากขึ้นโดยกินปลาอย่างน้อย 2 ส่วนต่อสัปดาห์ โดย 1 ส่วนเป็นปลาที่มีน้ำมัน
อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนชนิดนี้คือ
น้ำมันพืชทั้งหลายเช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง
ปลา เช่น as salmon, ปลา tuna และปลา mackerel
อะโวคาโด
ถั่วต่างๆ เช่น
น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน
งาดำ เมล็ดทานตะวัน
almonds, brazils , peanuts cashews, hazelnuts
3ไขมันทรานส์Trans fatty acids
อาหารธรรมชาติจะมีไขมันทรานส์ในปริมาณที่ต่ำมากไขมันทรานส์ได้มาจากไขมันที่เตรียมจากการนำน้ำมันพืชเช่นน้ำมันข้าวโพด ไปทำให้ร้อน ใส่สารเร่งและเติม Hydrogen เพื่อทำให้น้ำมันมีอายุใช้งานได้นานขึ้น และทำให้น้ำมันข้นขึ้นจนเป็นของแข็ง การรับประทานน้ำมันชนิดนี้มากจะทำให้ไขมัน LDL ในเลือดเพิ่มขึ้น และลดไขมันดี HDL cholesterol ผู้ใหญ่ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 5 กรัม โดยเฉลี่ยแล้ว เรากินประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนสูงสุดที่แนะนำ
ซูเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักรได้นำน้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจนบางส่วนออกจากผลิตภัณฑ์แบรนด์ของตนเองทั้งหมด
คนในสหราชอาณาจักรมักจะกินไขมันอิ่มตัวมากกว่าไขมันทรานส์ ซึ่งหมายความว่าเมื่อคุณดูปริมาณไขมันในอาหารของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องเน้นที่การลดปริมาณไขมันอิ่มตัว
ซึ่งผลเสียต่อสุขขภาพได้แก่
เสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน
ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด
เนื่องจากไขมันทรานส์ทำให้เกิดโรคหัวใจจำกำหนดให้รับประทานไขมันทรานส์ไม่เกินร้อยละ2 ของพลังงานทั้งหมด
รายละเอียดอ่านที่นี
ไขมันที่มีผลเสียต่อสุขภาพ
ไขมันที่มีผลเสียต่อสุขภาพคือ
1ไขมันอิ่มตัวหรือ Saturated fat.
ไขมันอิ่มตัวเป็นไขมันที่ได้รับจากสัตว์เป็นส่วนใหญ่เช่น เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม ไขมันอิ่มตัวจะทำให้ไขมันเลว LDL cholesterol ในเลือดสูงขึ้นซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกดโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเบาหวาน
2ไขมันทรานส์Trans fat.
ไขมันทรานส์ส่วนใหญ่เกิดจากขบวนการผลิตน้ำมันที่เรียกว่า partial hydrogenation ทำให้ได้ไขมันที่ทนความร้อนแบะเก็บได้นานขึ้น จากการศึกษาไขมันทรานส์ทำให้ไขมันเลวสูงขึ้นและไขมันดี HDL cholesterol
ลดลงซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ไขมันที่มีผลดีต่อสุขภาพ
1ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว monounsaturated
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเป็นไขมันที่พบมากในน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว น้ำมันคาโนลา น้ำมันอะโวคาโด และน้ำมันพืชที่มี จากการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงจะมีการเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง นอกจากนั้นยังช่วยทำให้ควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น
2ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน polyunsaturated fats
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนพบมากใน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนมักจะเป็นไขมันน้ำมันปลา omega-3 fatty acids และ omega-6 fatty acids เป็นส่วนใหญ่ การรับประทานไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทนไขมันอิ่มตัวและลดอาหารแป้งจะลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อาหารที่มี omega-3 fatty acids ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลสซาดีน ถัววอลนัต น้ำมันคาโนล่า น้ำมันถั่วเหลืองที่ไม่ผ่านขบวนการผลิต omega-3 fatty acidsจะใช้รักษาโรคหัวใจ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองลดความดันโลหิต เพิ่มไขมันดี HDL cholesterol และลดไขมันไตร์กลีเซอร์ไรด์
ปริมาณไขมันที่ควรจะรับประทาน
การรับประทานอาหารไขมันมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ จึงมีการกำหนดให้รับประทานอาหารไขมันร้อยละ25-35 ของพลังงานที่จะได้รับในแต่ละวัน หากคิดดดยค่าเฉลี่ยคนหนึ่งจะรับประทานอาหารไม่เกิน 2000 กิโลแคลรอรีดังนั้นจะรับประทานไขมันไม่เกิน 44-78 กรัม
อาหารที่ระบุว่าไขมันสูง(high fat)จะมีปริมาณไขมันมากกว่า 17.5 กรัมต่อน้ำหนักอาหาร100กรัม
อาหารที่ระบุว่าไขมันต่ำ(low fat )จะมีปริมาณไขมัน 3 กรับต่ออาหาร100กรัม หรือ มีปริมาณไขมัน1.5กรับต่อปริมาตร 100ซีซี
อาหารที่ระบุว่าไม่มีไขมัน(fat-free)จะมีปริมาณไขมัน 0.5 กรัมต่อแาหาร100กรัม
หรือ100ซีซี
ปริมาณไขมันอิ่มตัวที่ควรจะรับประทาน
คนทั่วไปไม่ควรรับประทานไขมันอิ่มตัวเกินร้อยละ10 ของพลังงานที่รับประทานในแต่ละวัน หากค่าเฉลี่ยคนรับประทานอาหารที่มีพลังงาน200แคลอรีก็รับประทานไขมันอิ่มตัวไม่เกิน22 กรัม หากคนผู้นั้นเสี่ยงต่อโรคหัวใจก็รับประทานไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 7 หรือไม่เกิน 15 กรัม
อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง จะมีไขมันอิ่มตัวมากกว่า 5 กรัมต่อน้ำหนัก100กรัม
อาหารไขมันอิ่มตัวต่ำจะมีไขมันไม่เกิน1.5กรัมต่อน้ำหนัก100กรัมหรือไม่เกิน0.75กรัมต่อปริมาตร100ซีซี
อาหารที่ไม่มีไขมันอิ่มตัวจะมีไขมันอิ่มตัวไม่เกิน0.1กรัมต่ออาหาร100กรัม หรือ100ซีซี
4กรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย essential fatty acids
เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารที่เรารับประทาน
omega-3 fatty acids และ omega-6 fatty acids
เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองต้องได้รับจากสารอาหาร omega-3 fatty acids จะมี Double bond ที่ตำแหน่ง C3 นับจากกลุ่ม Methyl group ส่วน omega-6 fatty acids จะมี Double bond ที่ตำแหน่ง C6 นับจากกลุ่ม Methyl group
omega-3 fatty acids จะพบมากในอาหารจำพวกปลาและน้ำมันพืช เช่น salmon, halibut, sardines, albacore, trout, herring, walnut, flaxseed oil, และ canola oil
omega-6 fatty acidsจะพบมากในอาหารจำพวกปลาและน้ำมันพืช corn, safflower, sunflower, soybean, and cottonseed oil
เนื่องจากอาหารที่เรารับประทานจะมี omega-6 fatty acids เพียงพอจึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มี omega-3 fatty acids อย่างน้อยสองมื้อต่อสัปดาห์
หากเรารับประทานไขมันอิ่มตัวมากเกินไปจะทำให้คอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
แนวทางปฏิบัติของรัฐบาลสหราชอาณาจักรในปัจจุบันแนะนำให้ลดไขมันทั้งหมดและแทนที่ไขมันอิ่มตัวด้วยไขมันไม่อิ่มตัวบางส่วน
ไขมันมีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างไร
ไขมันจำนวนเล็กน้อยเป็นส่วนสำคัญของการรับประทานอาหารที่สมดุลและดีต่อสุขภาพ ไขมันเป็นแหล่งของกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายซึ่งไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
ไขมันช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินอี วิตามินเหล่านี้ละลายในไขมัน ซึ่งหมายความว่าสามารถดูดซึมได้ด้วยไขมันเท่านั้น
ไขมันใด ๆ ที่เซลล์ของร่างกายไม่ได้ใช้หรือเปลี่ยนเป็นพลังงานจะถูกแปลงเป็นไขมันในร่างกาย ในทำนองเดียวกัน คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่ไม่ได้ใช้ก็จะถูกแปลงเป็นไขมันในร่างกายเช่นกัน
ไขมันทุกชนิดให้พลังงานสูง ไขมัน 1 กรัม ไม่ว่าจะอิ่มตัวหรือไม่อิ่มตัว ให้พลังงาน 9kcal (37kJ) เมื่อเทียบกับ 4kcal (17kJ) สำหรับคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน
ไขมันประเภทหลักที่พบในอาหาร ได้แก่ ไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันและน้ำมันส่วนใหญ่มีทั้งไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวในสัดส่วนที่ต่างกัน
ในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ คุณควรพยายามลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง และแทนที่ด้วยไขมันไม่อิ่มตัวบางชนิด
การเลือกซื้ออาหารที่มีไขมันต่ำ
ฉลากโภชนาการบนบรรจุภัณฑ์อาหารสามารถช่วยให้คุณลดปริมาณไขมันทั้งหมดและไขมันอิ่มตัว (แสดงเป็น "ไขมันอิ่มตัว" หรือ "ไขมันอิ่มตัว")
ข้อมูลโภชนาการสามารถนำเสนอในรูปแบบต่างๆ ที่ด้านหน้าและด้านหลังของบรรจุภัณฑ์
ไขมันรวม
ไขมันสูง – ไขมันมากกว่า 17.5 กรัมต่อไขมัน100 กรัม
ไขมันต่ำต่ำ – ไขมัน 3 กรัมหรือน้อยกว่าต่อ 100 กรัม หรือไขมัน 1.5 กรัมต่อ 100 มล. สำหรับของเหลว (ไขมัน 1.8 กรัมต่อ 100 มล. สำหรับนมพร่องมันเนย)
ปราศจากไขมัน – ไขมันน้อยกว่า 0.5 กรัมหรือน้อยกว่าต่อไขมัน 100 กรัมหรือ 100 มล.
ไขมันอิ่มตัว
ไขมันอิ่มตัวสูงมีไขมันอิ่มตัวมากกว่า 5 กรัมต่อไขมัน 100 กรัม
ไขมันอิ่มตัวต่ำมีไขมันอิ่มตัว 1.5 กรัมหรือน้อยกว่าต่อ 100 กรัม หรือ 0.75 กรัมต่อ 100 มล. สำหรับของเหลว
ไม่มีไขมันอิ่มตัว มีไขมันอิ่มตัว 0.1 กรัมต่อไขมัน 100 กรัมต่อ
ฉลาก "ไขมันต่ำ"
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่จะติดฉลากว่าไขมันต่ำ ไขมันลดลง ไลท์หรือไลท์ จะต้องมีไขมันน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันอย่างน้อย 30% แต่ถ้าประเภทของอาหารที่เป็นปัญหามักจะมีไขมันสูง อาหารที่มีไขมันต่ำอาจเป็นอาหารที่มีไขมันสูง (ไขมัน 17.5 กรัมหรือมากกว่าต่อ 100 กรัม)
ตัวอย่างเช่น มายองเนสที่มีไขมันต่ำอาจมีไขมันน้อยกว่ารุ่นมาตรฐานถึง 30% แต่ก็ยังมีไขมันสูงอยู่
นอกจากนี้ อาหารที่มีไขมันต่ำไม่จำเป็นต้องมีแคลอรีต่ำเสมอไป บางครั้งไขมันจะถูกแทนที่ด้วยน้ำตาล และอาหารอาจมีปริมาณพลังงานใกล้เคียงกับอาหารปกติ
เพื่อให้แน่ใจว่ามีไขมันและพลังงาน อย่าลืมตรวจสอบฉลากโภชนาการบนซอง
การลดไขมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
ประโยชน์ของของนำมัน omega-3 fatty acids
ไขมันในเลือดสูง จะเลือก butter หรือ magarine ถั่วต่างๆ ไขมันที่ดีและไขมันที่ไม่ดี การลดไขมัน
ไขมันในเลือดสูง | จะเลือก butter หรือ magarine | ถั่วต่างๆ | ไขมันที่ดีและไขมันที่ไม่ดี | การลดไขมัน | น้ำมันปลา | ปริมาณไขมันในอาหาร | ไขมัน Trans fatty acids
ทีมงาน Siamhealth.net ได้นำเสนอข้อมูลทางสุขภาพสำหรับประชาชน และมีความยินดีอนุญาติให้นำข้อมูลไปประกอบการสอน หรือแนะนำประชาชนหรือทำแผ่นพับเพื่อประกอบการสอน แต่สงวนลิขสิทธิ์ห้ามนำเนื้อหาหรือข้อมูลในเวปไปใช้ในสื่อ internet หรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ กรุณาแจ้งขอจาก webmaster ก่อน หากตรวจพบว่ามีการระเมิดจะดำเนินตามกฎหมาย สอบถามได้ที่นี่
ติดต่อโฆษณา About us | Disclaimer | โทร 086-9869168